จากหนังตัวอย่างที่ดูโฆษณา
ก็รู้ว่ามันก็คงไม่ใช่หนังใสๆมาก คงแบบเป็นรักวัยรุ่นที่มีปัญหาบ้านักร้อง
แอบคิดว่าจะทำออกมาเสี่ยวๆรึเปล่าด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่คิดว่าดูแล้วจะหนักใจขนาดนี้
ความสัมพันธ์ซับซ้อน
นึกถึงเพลง ให้ตายสิ พับผ่า
และเรื่องความสัมพันธ์ ความหลากหลายทางเพศ หนักมาก
หนักจนปวดหัว
ไปดูด้วยความที่เอานักร้องญี่ปุ่นมาแสดงด้วย
ดูแล้วคิดว่าแฟนคลับคงเคืองที่เอาเค้ามาเล่นถึงขนาดนี้
และก็แต่งนักร้องมาโกโตะออกมาไม่น่าประทับใจเท่าไหร่
ภาพออกมาดูแบบ นี่รึมาโกโตะที่เคยเห็นในรูป
ไม่ได้เป็นแฟนคลับแต่ก็เคยเห็นๆตามหนังสือ แม็กกาซีนอะไรบ้าง
รู้สึกอยากให้ภาพเขาออกมาดูดีกว่านี้ในหนัง
สำหรับติ๊นา ที่คาดว่ามีแฟนคลับล้นหลามก็เช่นกัน
คิดว่าแฟนคลับคงเคือง
แต่คงทำให้เกิดคู่จิ้นแนวใหม่
ปมความหลากหลายทางเพศนี่มันเยอะมากและคิดว่ามันมีจริงๆ
แต่บางทีมันก็ทำร้ายคนดูอย่างเราไปนะ
ไม่ต้องเล่นจริงนักก็ได้มั้ง
และจริงๆปมเรื่องนักร้องนี่สมัยนี้น่าจะเป็นนักร้องเกาหลีมากกว่านะ
ชื่อบล็อก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อหาหรอก แต่แค่ชอบและมุ่งไปหาสิ่งที่ชอบเหมือนเวลามุ่งไปหารักตามชื่อหนังญี่ปุ่นนั่นแหละ
วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557
วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557
การที่มีคนเข้ามาเล่นหุ้นมากจนไทยรัฐเอาไปลงนี่แปลว่าตลาดใกล้วายแล้วหรือ
ช่วงนี้เห็นคนมาฟังสัมมนากันล้นหลาม ขนาดบ่ายวันธรรมดายังเต็มห้องสัมมนาชั้น 3 จนต้องจัดเก้าอี้ไว้ที่ชั้นล่างตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงเปิดห้องชั้น 11 ด้วย จากที่ออกมานั่งศึกษาสัมมนาต่างๆมาหลายเดือนก็ยังไม่เคยเจอสภาพนี้
เริ่มคิดแล้วว่าคนเริ่มสนใจกันเยอะมากจริงๆ ต้องมีคนเปิดบัญชีใหม่ไปเพื่อเทรดหุ้นเยอะมากแน่ๆ
แถมยังมีพวกรายการแข่งเล่นหุ้นออกมาตามๆกัน ทำให้คนต้องมีการซื้อขายทำกำไรช่วงสั้นๆกันเยอะ
ปริมาณการซื้อขายน่าจะมีเข้ามาหนาแน่นตามจำนวนคนที่สนใจเข้าร่วมโครงการอย่างท่วมท้น
ดัชนีหุ้นขึ้นมาสูงมากเทียบกับเมื่อต้นปีที่ซบเซา จนเทียบใกล้เคียงกับช่วงที่สูงสุดในปีที่แล้ว มีคนกะว่าจะขึ้นไปสูงอย่างที่ไม่เคยเป็น
ตามเวบบอร์ด มีคนโพสกระทู้มากมายในแต่ละวัน กล่าวถึงหุ้นที่ไม่เคยได้ยินว่าขึ้นมามาก อย่างนั้นอย่างนี้ แถมมีเปลี่ยนตัวมาตลอด
บางทีก็อาจจะเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่ต้องระวังรึเปล่า พอมีคนเข้ามามาก ดันให้ราคาวิ่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หุ้นพื้นฐานดีราคาขึ้นไปสูงแล้ว ทำให้บางทีเห็นหุ้นที่ไม่ได้มีพื้นฐานอะไรมากดันวิ่งเอาๆ
ก็อาจจะมีคนที่จ้องรอจังหวะที่จะออกจากตลาด ขายล้างพอร์ตด้วยเป็นจังหวะที่ดี และถือเงินสดรอตลาดตก
นักเทรดที่เจอส่วนหนึ่งเริ่มล้างพอร์ตออกมารอ ในขณะที่เราเห็นการเคลื่อนไหวของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ อย่างต่างชาติที่เข้ามาซื้อบ้าง ขายบ้าง หุ้นตัวใหญ่เริ่มวิ่ง เริ่มสงสัยว่ากลุ่มกองทุนที่ซื้อเก็บมามาก หรือพวกที่จะปิดสถานะทำกำไรเมื่อถึงเปอร์เซนต์ที่กำหนดอย่างพวกทริกเกอร์ฟันด์จะทำอย่างไร
ฟังสัมมนานึงมีคนกล่าวทำนองว่าถ้าถึงจุดที่ตลาดบูมมากจนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเอาไปลงหน้า 1นี่ก็เตรียมตัวได้เลย
ตอนนี้หนังสือเกี่ยวกับหุ้น ก็ติดอันดับหนังสือขายดี มีพวกที่เขียนทั้งการลงทุนโดยแบ่งเงินจากรายได้ประจำ การเล่นเก็งกำไร การดูพื้นฐานหุ้น การออกมาเป็นเทรดเดอร์เต็มตัว ฯลฯ เกลื่อนแผง
แม้กระทั่งเวลานั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับหุ้นบนรถไฟฟ้า ก็ยังมีคนสนใจถาม
ถ้ามีคนอยากมีอิสรภาพทางการเงินมาก ตอนนี้ก็อาจจะมีคนลาออกมาเล่นหุ้นไม่มากก็น้อย ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นก็อาจจะเป็นพวกเดย์เทรดที่ต้องซื้อขายทำกำไรวันต่อวัน
หรือถือระยะสั้น ซึ่งอ่อนไหวต่อสิ่งต่างๆอย่างข่าว อย่างวิกฤตต่างๆได้ง่าย
เริ่มสงสัยว่าเมื่อเกิดวิกฤตอะไรสักอย่างนึงออกมา ตลาดจะวายมั้ยนะ
ไอ้พวกวิกฤตที่ไม่ได้มาจากประเทศเรานี่สิที่มันร้ายจริงเพราะถ้ามันเอาเงินไปลงไว้ทุกประเทศทั่วโลก เวลาที่มันล้มขึ้นมามันดึงเงินออกไปจากทั่วโลก อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คิดๆไปแล้วพวกมหาอำนาจนี่มันทั้งเอาเปรียบสร้างเงื่อนไขหาประโยชน์และสร้างเงินขึ้นมาใช้เฉยๆมากมาย ทั้งที่เศรษฐกิจบ้านเมืองมันก็ยังไม่ได้ดีอะไร แถมแค่ประกาศอะไรออกมานิดหน่อยก็สะเทือนไปตามๆกัน
วันนึงถ้าโลกอุ้มประเทศพวกนี้ไว้แล้วเกิดมันไม่รอดขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ไม่รู้
เริ่มคิดแล้วว่าคนเริ่มสนใจกันเยอะมากจริงๆ ต้องมีคนเปิดบัญชีใหม่ไปเพื่อเทรดหุ้นเยอะมากแน่ๆ
แถมยังมีพวกรายการแข่งเล่นหุ้นออกมาตามๆกัน ทำให้คนต้องมีการซื้อขายทำกำไรช่วงสั้นๆกันเยอะ
ปริมาณการซื้อขายน่าจะมีเข้ามาหนาแน่นตามจำนวนคนที่สนใจเข้าร่วมโครงการอย่างท่วมท้น
ดัชนีหุ้นขึ้นมาสูงมากเทียบกับเมื่อต้นปีที่ซบเซา จนเทียบใกล้เคียงกับช่วงที่สูงสุดในปีที่แล้ว มีคนกะว่าจะขึ้นไปสูงอย่างที่ไม่เคยเป็น
ตามเวบบอร์ด มีคนโพสกระทู้มากมายในแต่ละวัน กล่าวถึงหุ้นที่ไม่เคยได้ยินว่าขึ้นมามาก อย่างนั้นอย่างนี้ แถมมีเปลี่ยนตัวมาตลอด
บางทีก็อาจจะเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่ต้องระวังรึเปล่า พอมีคนเข้ามามาก ดันให้ราคาวิ่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หุ้นพื้นฐานดีราคาขึ้นไปสูงแล้ว ทำให้บางทีเห็นหุ้นที่ไม่ได้มีพื้นฐานอะไรมากดันวิ่งเอาๆ
ก็อาจจะมีคนที่จ้องรอจังหวะที่จะออกจากตลาด ขายล้างพอร์ตด้วยเป็นจังหวะที่ดี และถือเงินสดรอตลาดตก
นักเทรดที่เจอส่วนหนึ่งเริ่มล้างพอร์ตออกมารอ ในขณะที่เราเห็นการเคลื่อนไหวของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ อย่างต่างชาติที่เข้ามาซื้อบ้าง ขายบ้าง หุ้นตัวใหญ่เริ่มวิ่ง เริ่มสงสัยว่ากลุ่มกองทุนที่ซื้อเก็บมามาก หรือพวกที่จะปิดสถานะทำกำไรเมื่อถึงเปอร์เซนต์ที่กำหนดอย่างพวกทริกเกอร์ฟันด์จะทำอย่างไร
ฟังสัมมนานึงมีคนกล่าวทำนองว่าถ้าถึงจุดที่ตลาดบูมมากจนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเอาไปลงหน้า 1นี่ก็เตรียมตัวได้เลย
ตอนนี้หนังสือเกี่ยวกับหุ้น ก็ติดอันดับหนังสือขายดี มีพวกที่เขียนทั้งการลงทุนโดยแบ่งเงินจากรายได้ประจำ การเล่นเก็งกำไร การดูพื้นฐานหุ้น การออกมาเป็นเทรดเดอร์เต็มตัว ฯลฯ เกลื่อนแผง
แม้กระทั่งเวลานั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับหุ้นบนรถไฟฟ้า ก็ยังมีคนสนใจถาม
ถ้ามีคนอยากมีอิสรภาพทางการเงินมาก ตอนนี้ก็อาจจะมีคนลาออกมาเล่นหุ้นไม่มากก็น้อย ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นก็อาจจะเป็นพวกเดย์เทรดที่ต้องซื้อขายทำกำไรวันต่อวัน
หรือถือระยะสั้น ซึ่งอ่อนไหวต่อสิ่งต่างๆอย่างข่าว อย่างวิกฤตต่างๆได้ง่าย
เริ่มสงสัยว่าเมื่อเกิดวิกฤตอะไรสักอย่างนึงออกมา ตลาดจะวายมั้ยนะ
ไอ้พวกวิกฤตที่ไม่ได้มาจากประเทศเรานี่สิที่มันร้ายจริงเพราะถ้ามันเอาเงินไปลงไว้ทุกประเทศทั่วโลก เวลาที่มันล้มขึ้นมามันดึงเงินออกไปจากทั่วโลก อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คิดๆไปแล้วพวกมหาอำนาจนี่มันทั้งเอาเปรียบสร้างเงื่อนไขหาประโยชน์และสร้างเงินขึ้นมาใช้เฉยๆมากมาย ทั้งที่เศรษฐกิจบ้านเมืองมันก็ยังไม่ได้ดีอะไร แถมแค่ประกาศอะไรออกมานิดหน่อยก็สะเทือนไปตามๆกัน
วันนึงถ้าโลกอุ้มประเทศพวกนี้ไว้แล้วเกิดมันไม่รอดขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ไม่รู้
วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557
ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น Grammy 24 กันยายน 2557
ประชุมครั้งนี้หลักๆก็เป็นเรื่องการเพิ่มทุน
เพิ่งมาประชุม grammy เป็นครั้งแรก ที่โรงแรมที่อยู่ตรงห้าง terminal 21
มีหุ้นจำนวนน้อย เข้าไปซื้อเพื่อภาวนาว่าอย่าเพิ่งเจ๊ง ชอบดูหลายรายการ
เห็นขาดทุนเยอะก็กลัวเจ๊งเหมือนกัน ยิ่งเพิ่งเริ่มดิจิตอลทีวีลงทุนกันเยอะแยะด้วย
**สิ่งที่เขียนประมวลจากความเข้าใจของตัวเอง อาจจะมีผิดพลาดได้**
ประชุมตอนบ่ายสองโมง มีขนม แยกแบบเจกับไม่เจให้ด้วย และชากาแฟ
ก่อนเริ่มประชุม มีการฉายวีดีโอ โฆษณาสื่อต่างๆของแกรมมี่
แบบมีตัวอย่างเรื่องสงครามนางงาม (ก่อนหน้านี้ก็มีเห็นโฆษณาตามหน้าจอแถวสี่แยกเหมือนกัน)
(ประเด็นนี้ผู้ถือหุ้นก็หยิบยกมาว่า ทำไมมีเรื่องอย่างว่าเยอะ ทั้งที่จะทำแนวคุณภาพก็ได้ อะไรอย่างนี้)
เรื่องเพิ่มทุนก็มีคนพูดหลายอย่าง ว่าทำไมไม่จูงใจให้คนมาซื้อหุ้นเพิ่มทุน อย่างการแจกวอร์แรนต์
หรือการกำหนดราคาซื้อต่ำๆหน่อยสำหรับผู้ถือหุ้นเดิม เพราะตอนนี้ราคามันลงมากกลัวเพิ่มทุนไม่สำเร็จ
(เห็นว่าคงไม่มีการปรับราคา) ราคาซื้อหุ้นเพิ่มทุน 13.5 บาท ไม่สามารถซื้อเกินสิทธิ์ ราคาปัจจุบันก็ 13 บาทกว่าๆ
และก็ถามในเรื่องที่ให้บุคคลอื่น ที่เรียกว่าบุคคลเฉพาะเจาะจงหรือ PP มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน หลังจากที่ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อกันไม่หมดด้วย (เห็นบอกว่ามีสถาบันให้ความสนใจหลายราย เลยมีคนบอกว่า พวกสถาบันเขาได้ไปแล้วอาจจะขายออก ไม่เหมือนผู้ถือหุ้นที่อยู่กันมาแต่เดิม) (จริงๆก็แอบอยากรู้ว่ามีสถาบันไหนบ้าง)
ที่ปรึกษาเขาเป็นทางหลักทรัพย์บัวหลวง ก็มีคนถามเรื่องว่าบัวหลวงจะมีการช่วยเหลือ(ประมาณจ่ายเงิน)ถ้าเพิ่มทุนไม่สำเร็จ เขาก็ดูเหมือนจะรับช่วยเหลือ
การขาดทุนที่ผ่านมาเขาก็แจ้งว่าเป็นการขาดทุนในธุรกิจเพย์ทีวี ที่ตอนนี้ขายให้ cth ไปแล้ว ตรงส่วนนี้จะหายไป
แต่ผู้ถือหุ้นก็ยังสงสัยในเรื่องต้นทุนการเข้ามาทำดิจิตอลทีวี อย่างพวกค่าประมูลที่ต้องแบ่งจ่ายแต่ละปี
ซึ่งดูแล้วก็เยอะ ประมาณสองพันล้านได้ รวมสองช่อง (มีตารางแสดงว่าแต่ละปีจ่ายกี่เปอร์เซนต์ในเอกสารที่ส่งมาเชิญประชุม)
รวมทั้งเมื่อปีก่อนก็เพิ่มทุนไปแล้วรอบนึง ซึ่งที่ได้จากเพิ่มทุนรอบที่แล้วก็นำไปใช้ในเรื่องดิจิตอลทีวีไปแล้ว
คราวนี้จะเอาส่วนที่เพิ่มทุนไปใช้ผลิตรายการป้อนดิจิตอลทีวี และส่วนหนึ่งไปชำระหนี้ แต่ยังไม่สามารถระบุสัดส่วนที่ชัดเจนได้ ขึ้นกับกลยุทธ์ผู้บริหาร
เรื่องละครซีรียส์ฮอร์โมน ซีซั่นส์ 2 ที่มันออกอากาศในช่อง GMM ที่อยู่ในดิจิตอลทีวีช่อง 25 แล้วแต่ไม่มีการโปรโหมตอะไรมาก เราเองก็เพิ่งเริ่มดูในช่องนี้เมื่อเสาร์ที่ผ่านมา หลังจากที่ดูสดแบบกระตุกๆใน Youtube มาโดยตลอด (มีผู้ถือหุ้นบอกเหมือนกันว่าเพิ่งรู้ตอนเขาบอกว่าฮอร์โมน ซีซั่นส์ 2 มีออกทางช่องนี้ )
ปรากฎว่าจะมีแถลงข่าวเปิดตัวช่องวันที่ 25 กันยายน 2557ที่พารากอน
แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าอะไรยังไง
มีการพูดเรื่องเรตติ้ง เหมือนเขายังบอกว่าวัดอย่างถูกต้องยังไม่ได้ เพราะที่มีการวัดกัน อาจจะเป็นแค่พวกข้อมูลเสาก้างปลา เป็นส่วนใหญ่
ผู้ถือหุ้นก็คาดหวังที่จะได้ข้อมูล หรืออะไรที่มันแสดงความเป็นมืออาชีพของแกรมมี่ที่ทำธุรกิจบันเทิงมานาน
ดูทุกคนเป็นห่วงเป็นใยหลายๆอย่างและช่วยกันให้ความเห็นกันคนละหลายรอบเลยใช้เวลาไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็ได้ฟังผู้ถือหุ้นที่เขาอยู่กับแกรมมี่มานาน ซึ่งเขาเคยมาประชุมและให้ความเห็นกันในรอบก่อนๆด้วย มีคนบอกว่ามาเพราะติดหุ้น ดูจากราคาที่ช่วงนี้ลงมามากก็คาดว่าทุกคนคงจะติดกันอยู่แน่นอน และเป็นห่วงเป็นใยกันเป็นพิเศษ
* ไว้ดูที่จดไว้แล้วมาเขียนต่อ*
(ถึงตรงนี้เขียนล่าสุด เช้ามืด 25 กันยายน 2557)
เขียนต่อ เอาประเด็นต่างๆมาเรียบเรียง (เพิ่มเติม ณ คืน วันที่ 26 กันยายน 2557)
เรื่องตามวาระการประชุมต่างๆก็ผ่านมติที่ประชุมหมด โดยรวมก็เห็นด้วย 99 เปอร์เซนต์กว่า
วาระต่างๆคือ
1 .รับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ปี 2557
2. พิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุน
3.พิจารณาอนุมัติแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท
(คือแก้ไขในส่วนว่ามีทุนจดทะเบียนเท่าไหร่หลังเพิ่มทุน)
4.พิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน
**เรื่องมติที่ประชุมอันที่เป็นทางการอยู่ในนี้**
http://grammy.listedcompany.com/newsroom/20140924-grammy-set01-th.pdf
ผู้ถือหุ้นที่มา
83 ราย มาด้วยตนเอง 368.11 ล้านหุ้น
70 ราย มอบฉันทะ 38ล้านหุ้น
รวม 406 ล้านหุ้น
ประเด็นต่างๆตามที่เข้าใจ
-มีเพิ่มทุนครั้งนี้ ครั้งหน้าก็ต้องมีอีก ? จะเพิ่มไปอีกกี่รอบถึงจะพอ
อันนี้มันแล้วแต่รายได้ของทีวีดิจิตอลทั้งสองช่องที่จะเข้ามาด้วย
ยังไงก็มีค่าใช้จ่ายทีวีดิจิตอลมาก มีส่วนที่ต้องแบ่งจ่ายทุกปี
แต่คาดหวังที่จะเป็น 1 ใน 5 ผู้นำช่องดิจิตอล
-ทำไมไม่กำหนดราคาต่ำ แถมวอร์แรนต์
เรื่องแจกวอร์แรนต์ เห็นว่า ต้องการใช้เงินทันที (เพื่อลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน)
แต่ถ้าเป็นวอร์แรนต์ไม่รู้ว่าจะมาใช้สิทธิ์มั้ย และไม่ได้เงินทันทีด้วย ส่วนเรื่องราคา กำหนดต่ำไปก็คงมีผลกับราคาหุ้น
ราคาที่กำหนดคิดว่าเหมาะสมแล้ว คือ ลด 14 เปอร์เซนต์จากราคาตลาดขณะช่วงที่กำหนดราคา
-ประเด็น PP (private placement) หรือการขายหุ้นให้กลุ่มบุคคลวงจำกัด
มี freefloat ( หุ้นสำหรับนักลงทุนทั่วไป ) น้อย และจะเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นนอกเหนือจากผู้ถือหุ้นเดิมเข้ามา เพิ่มสภาพคล่อง
และจะไม่ขายต่ำไปกว่าราคาที่เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม ที่เป็น Right offering ที่ 13.5 บาท
- ธุรกิจเพลงของแกรมมี่
มีรายได้ออนไลน์อย่าง youtube , streaming app kkbox ของ ais เป็นการจ่ายเหมารวม เพื่อจะฟังเพลงใดก็ได้ รวมถึงเพลงหาฟังยาก
-ไม่เห็นมีโฆษณาช่องทีวีดิจิตอล
มีโฆษณาอยู่ตามถนน ตามสี่แยกทั่วไป
(LED 50 จุด ทั่วกทม.)
จะค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเร่งโฆษณาจะทำให้เงินหมด
ตอนนี้หมายเลขช่องกรณีรวมกับพวกดาวเทียมยังไม่ชัดเจน เพราะอย่างบางอันจะมีช่อง favorite 10 ช่องแรกทำให้เลขช่องต้อง+10 อย่างของ gmm ช่อง 25 ไปดูในของดาวเทียมเป็นเลข 35
อนาคตมีแนวทางว่าจะยกเลิก favorite 10 ช่องออก จะทำให้เลขช่องชัดเจน
-การถอดรายการออกจากช่อง 3 หลังจากมีช่องของตัวเองและมีเรื่องช่องสามจอดำ
มีรายการอาทิตย์ละ 2-3 ชั่วโมง
การที่จะจอดำ ไม่จอดำจะมีเงื่อนไขตามมาอีกมาก
ณ ตอนนี้อย่างทาง agency เองก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
-มีการเสนอว่าอาจเป็นโอกาสในการรับจ้างผลิตสื่อสำหรับดิจิตอลทีวี
-ค่าประมูลช่องดิจิตอลทีวี
มีตารางในสิ่งที่ส่งมาด้วย 2 หน้า 5
มีแบ่งเป็นส่วนขั้นต่ำกับส่วนเพิ่มเติม(ที่เกินขั้นต่ำ)
ส่วนราคาขั้นต่ำมีการแบ่งจ่าย 4 ปี
ขั้นต่ำส่วนของช่อง hd 1500 ล้าน SD 380 ล้าน
ส่วนราคาเพิ่มเติม แบ่งจ่าย 6 ปี
ค่าประมูล 5612 ล้าน
การแบ่งจ่าย
ปี 2014 1319 ล้าน ปี2015 939ล้าน ปี2016 933 ล้าน 2017 933 ล้าน ปี2018 744 ล้าน ปี2019 744 ล้าน
ส่วนที่จ่ายแล้ว 1319 ล้าน
แต่ละปีมีส่วนที่ต้องจ่าย 2 เปอร์เซนต์ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายด้วย
(มีการลดให้ 2 เปอร์เซนต์ ยังต้องจ่าย 2 เปอร์เซนต์ ที่ว่าช่วยดิจิตอลทีวี)
-กำไรต่อหุ้น (EPS) ในรายงานประจำปี หน้า46 ปี 54 1.18 ปี 55 -0.66 ปี 56 -2 บาทกว่า
ปี 57 จะเป็นเท่าไร ขาดทุนมากกว่า 2 บาท?
ดูโครงสร้างรายได้ เพลงลดจาก 3500 ล้าน เป็น 3000 ล้าน แต่สื่อ จาก 3500 เป็น 3900 อื่นๆจาก 700 เป็น 1200
แต่กำไรสุทธิลดลงมาก
มีการไปลง pay tv ซึ่งขาดทุน มีการหยุด loss ในธุรกิจนี้โดย swap ให้ทาง cth
loss -200 ล้าน ต่อเดือน รวม 1 ไตรมาสเป็น 600 ล้าน
- ที่บัวหลวงให้จ่ายค่าหุ้นเพิ่มทุนเป็น bill payment ของที่อื่น เก็บค่าธรรมเนียม 10 บาท ครั้งนี้จะมี?
อันนี้คงต้องรอทางบัวหลวงชี้แจงรายละเอียด
-การเน้นหนัง2แง่2ง่าม รักใคร่
ถึงแม้หน้าหนังจะแรงแต่ตั้งใจให้ประโยชน์กับคนดู
อย่างมีการเพิ่มเติม ฮอร์โมนส์ โฮมรูม
-เรื่องหนังไทย GTH ไม่มีเหมือนอย่างพี่มากฯ รายได้พันล้าน
หนังไทยที่รายได้พันล้านมีโอกาสน้อยมาก เรื่องพี่มากฯเป็นส่วนที่พิเศษมาก
ไม่ง่ายที่จะทำได้
เพิ่งมาประชุม grammy เป็นครั้งแรก ที่โรงแรมที่อยู่ตรงห้าง terminal 21
มีหุ้นจำนวนน้อย เข้าไปซื้อเพื่อภาวนาว่าอย่าเพิ่งเจ๊ง ชอบดูหลายรายการ
เห็นขาดทุนเยอะก็กลัวเจ๊งเหมือนกัน ยิ่งเพิ่งเริ่มดิจิตอลทีวีลงทุนกันเยอะแยะด้วย
**สิ่งที่เขียนประมวลจากความเข้าใจของตัวเอง อาจจะมีผิดพลาดได้**
ประชุมตอนบ่ายสองโมง มีขนม แยกแบบเจกับไม่เจให้ด้วย และชากาแฟ
ก่อนเริ่มประชุม มีการฉายวีดีโอ โฆษณาสื่อต่างๆของแกรมมี่
แบบมีตัวอย่างเรื่องสงครามนางงาม (ก่อนหน้านี้ก็มีเห็นโฆษณาตามหน้าจอแถวสี่แยกเหมือนกัน)
(ประเด็นนี้ผู้ถือหุ้นก็หยิบยกมาว่า ทำไมมีเรื่องอย่างว่าเยอะ ทั้งที่จะทำแนวคุณภาพก็ได้ อะไรอย่างนี้)
เรื่องเพิ่มทุนก็มีคนพูดหลายอย่าง ว่าทำไมไม่จูงใจให้คนมาซื้อหุ้นเพิ่มทุน อย่างการแจกวอร์แรนต์
หรือการกำหนดราคาซื้อต่ำๆหน่อยสำหรับผู้ถือหุ้นเดิม เพราะตอนนี้ราคามันลงมากกลัวเพิ่มทุนไม่สำเร็จ
(เห็นว่าคงไม่มีการปรับราคา) ราคาซื้อหุ้นเพิ่มทุน 13.5 บาท ไม่สามารถซื้อเกินสิทธิ์ ราคาปัจจุบันก็ 13 บาทกว่าๆ
และก็ถามในเรื่องที่ให้บุคคลอื่น ที่เรียกว่าบุคคลเฉพาะเจาะจงหรือ PP มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน หลังจากที่ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อกันไม่หมดด้วย (เห็นบอกว่ามีสถาบันให้ความสนใจหลายราย เลยมีคนบอกว่า พวกสถาบันเขาได้ไปแล้วอาจจะขายออก ไม่เหมือนผู้ถือหุ้นที่อยู่กันมาแต่เดิม) (จริงๆก็แอบอยากรู้ว่ามีสถาบันไหนบ้าง)
ที่ปรึกษาเขาเป็นทางหลักทรัพย์บัวหลวง ก็มีคนถามเรื่องว่าบัวหลวงจะมีการช่วยเหลือ(ประมาณจ่ายเงิน)ถ้าเพิ่มทุนไม่สำเร็จ เขาก็ดูเหมือนจะรับช่วยเหลือ
การขาดทุนที่ผ่านมาเขาก็แจ้งว่าเป็นการขาดทุนในธุรกิจเพย์ทีวี ที่ตอนนี้ขายให้ cth ไปแล้ว ตรงส่วนนี้จะหายไป
แต่ผู้ถือหุ้นก็ยังสงสัยในเรื่องต้นทุนการเข้ามาทำดิจิตอลทีวี อย่างพวกค่าประมูลที่ต้องแบ่งจ่ายแต่ละปี
ซึ่งดูแล้วก็เยอะ ประมาณสองพันล้านได้ รวมสองช่อง (มีตารางแสดงว่าแต่ละปีจ่ายกี่เปอร์เซนต์ในเอกสารที่ส่งมาเชิญประชุม)
รวมทั้งเมื่อปีก่อนก็เพิ่มทุนไปแล้วรอบนึง ซึ่งที่ได้จากเพิ่มทุนรอบที่แล้วก็นำไปใช้ในเรื่องดิจิตอลทีวีไปแล้ว
คราวนี้จะเอาส่วนที่เพิ่มทุนไปใช้ผลิตรายการป้อนดิจิตอลทีวี และส่วนหนึ่งไปชำระหนี้ แต่ยังไม่สามารถระบุสัดส่วนที่ชัดเจนได้ ขึ้นกับกลยุทธ์ผู้บริหาร
เรื่องละครซีรียส์ฮอร์โมน ซีซั่นส์ 2 ที่มันออกอากาศในช่อง GMM ที่อยู่ในดิจิตอลทีวีช่อง 25 แล้วแต่ไม่มีการโปรโหมตอะไรมาก เราเองก็เพิ่งเริ่มดูในช่องนี้เมื่อเสาร์ที่ผ่านมา หลังจากที่ดูสดแบบกระตุกๆใน Youtube มาโดยตลอด (มีผู้ถือหุ้นบอกเหมือนกันว่าเพิ่งรู้ตอนเขาบอกว่าฮอร์โมน ซีซั่นส์ 2 มีออกทางช่องนี้ )
ปรากฎว่าจะมีแถลงข่าวเปิดตัวช่องวันที่ 25 กันยายน 2557ที่พารากอน
แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าอะไรยังไง
มีการพูดเรื่องเรตติ้ง เหมือนเขายังบอกว่าวัดอย่างถูกต้องยังไม่ได้ เพราะที่มีการวัดกัน อาจจะเป็นแค่พวกข้อมูลเสาก้างปลา เป็นส่วนใหญ่
ผู้ถือหุ้นก็คาดหวังที่จะได้ข้อมูล หรืออะไรที่มันแสดงความเป็นมืออาชีพของแกรมมี่ที่ทำธุรกิจบันเทิงมานาน
ดูทุกคนเป็นห่วงเป็นใยหลายๆอย่างและช่วยกันให้ความเห็นกันคนละหลายรอบเลยใช้เวลาไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็ได้ฟังผู้ถือหุ้นที่เขาอยู่กับแกรมมี่มานาน ซึ่งเขาเคยมาประชุมและให้ความเห็นกันในรอบก่อนๆด้วย มีคนบอกว่ามาเพราะติดหุ้น ดูจากราคาที่ช่วงนี้ลงมามากก็คาดว่าทุกคนคงจะติดกันอยู่แน่นอน และเป็นห่วงเป็นใยกันเป็นพิเศษ
* ไว้ดูที่จดไว้แล้วมาเขียนต่อ*
(ถึงตรงนี้เขียนล่าสุด เช้ามืด 25 กันยายน 2557)
เขียนต่อ เอาประเด็นต่างๆมาเรียบเรียง (เพิ่มเติม ณ คืน วันที่ 26 กันยายน 2557)
เรื่องตามวาระการประชุมต่างๆก็ผ่านมติที่ประชุมหมด โดยรวมก็เห็นด้วย 99 เปอร์เซนต์กว่า
วาระต่างๆคือ
1 .รับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ปี 2557
2. พิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุน
3.พิจารณาอนุมัติแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท
(คือแก้ไขในส่วนว่ามีทุนจดทะเบียนเท่าไหร่หลังเพิ่มทุน)
4.พิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน
**เรื่องมติที่ประชุมอันที่เป็นทางการอยู่ในนี้**
http://grammy.listedcompany.com/newsroom/20140924-grammy-set01-th.pdf
ผู้ถือหุ้นที่มา
83 ราย มาด้วยตนเอง 368.11 ล้านหุ้น
70 ราย มอบฉันทะ 38ล้านหุ้น
รวม 406 ล้านหุ้น
ประเด็นต่างๆตามที่เข้าใจ
-มีเพิ่มทุนครั้งนี้ ครั้งหน้าก็ต้องมีอีก ? จะเพิ่มไปอีกกี่รอบถึงจะพอ
อันนี้มันแล้วแต่รายได้ของทีวีดิจิตอลทั้งสองช่องที่จะเข้ามาด้วย
ยังไงก็มีค่าใช้จ่ายทีวีดิจิตอลมาก มีส่วนที่ต้องแบ่งจ่ายทุกปี
แต่คาดหวังที่จะเป็น 1 ใน 5 ผู้นำช่องดิจิตอล
-ทำไมไม่กำหนดราคาต่ำ แถมวอร์แรนต์
เรื่องแจกวอร์แรนต์ เห็นว่า ต้องการใช้เงินทันที (เพื่อลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน)
แต่ถ้าเป็นวอร์แรนต์ไม่รู้ว่าจะมาใช้สิทธิ์มั้ย และไม่ได้เงินทันทีด้วย ส่วนเรื่องราคา กำหนดต่ำไปก็คงมีผลกับราคาหุ้น
ราคาที่กำหนดคิดว่าเหมาะสมแล้ว คือ ลด 14 เปอร์เซนต์จากราคาตลาดขณะช่วงที่กำหนดราคา
-ประเด็น PP (private placement) หรือการขายหุ้นให้กลุ่มบุคคลวงจำกัด
มี freefloat ( หุ้นสำหรับนักลงทุนทั่วไป ) น้อย และจะเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นนอกเหนือจากผู้ถือหุ้นเดิมเข้ามา เพิ่มสภาพคล่อง
และจะไม่ขายต่ำไปกว่าราคาที่เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม ที่เป็น Right offering ที่ 13.5 บาท
- ธุรกิจเพลงของแกรมมี่
มีรายได้ออนไลน์อย่าง youtube , streaming app kkbox ของ ais เป็นการจ่ายเหมารวม เพื่อจะฟังเพลงใดก็ได้ รวมถึงเพลงหาฟังยาก
-ไม่เห็นมีโฆษณาช่องทีวีดิจิตอล
มีโฆษณาอยู่ตามถนน ตามสี่แยกทั่วไป
(LED 50 จุด ทั่วกทม.)
จะค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเร่งโฆษณาจะทำให้เงินหมด
ตอนนี้หมายเลขช่องกรณีรวมกับพวกดาวเทียมยังไม่ชัดเจน เพราะอย่างบางอันจะมีช่อง favorite 10 ช่องแรกทำให้เลขช่องต้อง+10 อย่างของ gmm ช่อง 25 ไปดูในของดาวเทียมเป็นเลข 35
อนาคตมีแนวทางว่าจะยกเลิก favorite 10 ช่องออก จะทำให้เลขช่องชัดเจน
-การถอดรายการออกจากช่อง 3 หลังจากมีช่องของตัวเองและมีเรื่องช่องสามจอดำ
มีรายการอาทิตย์ละ 2-3 ชั่วโมง
การที่จะจอดำ ไม่จอดำจะมีเงื่อนไขตามมาอีกมาก
ณ ตอนนี้อย่างทาง agency เองก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
-มีการเสนอว่าอาจเป็นโอกาสในการรับจ้างผลิตสื่อสำหรับดิจิตอลทีวี
-ค่าประมูลช่องดิจิตอลทีวี
มีตารางในสิ่งที่ส่งมาด้วย 2 หน้า 5
มีแบ่งเป็นส่วนขั้นต่ำกับส่วนเพิ่มเติม(ที่เกินขั้นต่ำ)
ส่วนราคาขั้นต่ำมีการแบ่งจ่าย 4 ปี
ขั้นต่ำส่วนของช่อง hd 1500 ล้าน SD 380 ล้าน
ส่วนราคาเพิ่มเติม แบ่งจ่าย 6 ปี
ค่าประมูล 5612 ล้าน
การแบ่งจ่าย
ปี 2014 1319 ล้าน ปี2015 939ล้าน ปี2016 933 ล้าน 2017 933 ล้าน ปี2018 744 ล้าน ปี2019 744 ล้าน
ส่วนที่จ่ายแล้ว 1319 ล้าน
แต่ละปีมีส่วนที่ต้องจ่าย 2 เปอร์เซนต์ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายด้วย
(มีการลดให้ 2 เปอร์เซนต์ ยังต้องจ่าย 2 เปอร์เซนต์ ที่ว่าช่วยดิจิตอลทีวี)
-กำไรต่อหุ้น (EPS) ในรายงานประจำปี หน้า46 ปี 54 1.18 ปี 55 -0.66 ปี 56 -2 บาทกว่า
ปี 57 จะเป็นเท่าไร ขาดทุนมากกว่า 2 บาท?
ดูโครงสร้างรายได้ เพลงลดจาก 3500 ล้าน เป็น 3000 ล้าน แต่สื่อ จาก 3500 เป็น 3900 อื่นๆจาก 700 เป็น 1200
แต่กำไรสุทธิลดลงมาก
มีการไปลง pay tv ซึ่งขาดทุน มีการหยุด loss ในธุรกิจนี้โดย swap ให้ทาง cth
loss -200 ล้าน ต่อเดือน รวม 1 ไตรมาสเป็น 600 ล้าน
- ที่บัวหลวงให้จ่ายค่าหุ้นเพิ่มทุนเป็น bill payment ของที่อื่น เก็บค่าธรรมเนียม 10 บาท ครั้งนี้จะมี?
อันนี้คงต้องรอทางบัวหลวงชี้แจงรายละเอียด
-การเน้นหนัง2แง่2ง่าม รักใคร่
ถึงแม้หน้าหนังจะแรงแต่ตั้งใจให้ประโยชน์กับคนดู
อย่างมีการเพิ่มเติม ฮอร์โมนส์ โฮมรูม
-เรื่องหนังไทย GTH ไม่มีเหมือนอย่างพี่มากฯ รายได้พันล้าน
หนังไทยที่รายได้พันล้านมีโอกาสน้อยมาก เรื่องพี่มากฯเป็นส่วนที่พิเศษมาก
ไม่ง่ายที่จะทำได้
วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557
ดูเรื่อง เมซ รันเนอร์ Maze runner แล้วรู้สึกยังไง (สปอยล์)(ความเห็นส่วนตัว)
จริงๆหนังมันก็มีหนังสือมาก่อน แต่ก็ไม่เคยอ่านหนังสือก่อนมาดู
ถามว่าสนุกมั้ย ก็สนุกดี ลุ้นดี ดูเพลินๆ
สำหรับด้านอื่นๆหนังเรื่องนี้ดูแล้วก็รู้สึกว่า เทคนิคมันก็ไม่ได้อลังการอะไรมาก แค่มีแบบเปิดปิดเขาวงกต
แต่การสร้างฉากก็ดูใหญ่โต (ขนาดใหญ่)
สัตว์ประหลาดที่โผล่มาก็เฟคๆ เห็นสายไฟชัดซะขนาดนั้น ตัวเครื่องด้านในเอาออกมาง่ายมาก
ตั้งแต่แรกที่โดนจับไปก็เห็นกลไกแล้ว
เขาวงกตมีการเลื่อนประตูเปิดปิด แบบมีคนบงการอยู่อย่างชัดเจน
มันไม่ใช่แบบเขาวงกตร้างในป่าที่บังเอิญหลุดเข้าไปด้วย เห็นชัดๆว่ามีคนส่งเข้าไป
ที่โดนจับมามีคนต้องการให้มาเป็นตัวเล่นในเกม ตั้งแต่มีคนเข้ามาเพิ่มทีละคนโดยมากับกล่องทุกครั้ง
แต่ดูแบบติดตามเรื่องก็จะลุ้นไปกับตัวเอก โทมัส ว่าจะจัดการทำอะไรได้บ้าง
เนื่องจากเป็นตัวเอกก็เลยคิดว่า ต้องช่วยอะไรได้บ้างละนะ
ว่าแต่เขาลงทุนสร้างฉากมาเพื่อที่จะทำเรื่องที่มีเนื้อเรื่องจับคนมาทดลอง
แถมยังทำเหมือนจะทำภาคต่ออีก
ตัวเอกในเรื่องก็ยังงงว่าทำไมมีเกาหลีมาเด่นมากในหนังฝรั่ง
แต่ก็พบว่าคนชอบมินโฮ เกาหลีในเรื่องกันมาก
ถามว่าสนุกมั้ย ก็สนุกดี ลุ้นดี ดูเพลินๆ
สำหรับด้านอื่นๆหนังเรื่องนี้ดูแล้วก็รู้สึกว่า เทคนิคมันก็ไม่ได้อลังการอะไรมาก แค่มีแบบเปิดปิดเขาวงกต
แต่การสร้างฉากก็ดูใหญ่โต (ขนาดใหญ่)
สัตว์ประหลาดที่โผล่มาก็เฟคๆ เห็นสายไฟชัดซะขนาดนั้น ตัวเครื่องด้านในเอาออกมาง่ายมาก
ตั้งแต่แรกที่โดนจับไปก็เห็นกลไกแล้ว
เขาวงกตมีการเลื่อนประตูเปิดปิด แบบมีคนบงการอยู่อย่างชัดเจน
มันไม่ใช่แบบเขาวงกตร้างในป่าที่บังเอิญหลุดเข้าไปด้วย เห็นชัดๆว่ามีคนส่งเข้าไป
ที่โดนจับมามีคนต้องการให้มาเป็นตัวเล่นในเกม ตั้งแต่มีคนเข้ามาเพิ่มทีละคนโดยมากับกล่องทุกครั้ง
แต่ดูแบบติดตามเรื่องก็จะลุ้นไปกับตัวเอก โทมัส ว่าจะจัดการทำอะไรได้บ้าง
เนื่องจากเป็นตัวเอกก็เลยคิดว่า ต้องช่วยอะไรได้บ้างละนะ
ว่าแต่เขาลงทุนสร้างฉากมาเพื่อที่จะทำเรื่องที่มีเนื้อเรื่องจับคนมาทดลอง
แถมยังทำเหมือนจะทำภาคต่ออีก
ก่อนไปดูไม่ได้ดูหนังตัวอย่าง เพิ่งมีช่วงนี้เห็นหนังมีโฆษณา เลยได้ดูหนังตัวอย่าง
ดูเหมือนเอฟเฟคจะดีในหนังตัวอย่าง แต่ทำไมไปดูแล้วรู้สึกเอฟเฟคงั้นๆก็ไม่รู้แฮะ
หรือว่าต้องไปดูในโรงแบบ สาม -สี่มิติถึงจะได้เทคนิคอลังการก็ไม่รู้
หรือว่าต้องไปดูในโรงแบบ สาม -สี่มิติถึงจะได้เทคนิคอลังการก็ไม่รู้
แต่ดูแล้วก็ลุ้นไปกับหนังด้วยว่าจะรอดออกมาได้มั้ย รอดออกมาแล้วจะเจออะไร
สิ่งที่ตัวเอกตัดสินใจทำแบบเสี่ยงๆจะเกิดอะไรขึ้นตามมา
สิ่งที่ตัวเอกตัดสินใจทำแบบเสี่ยงๆจะเกิดอะไรขึ้นตามมา
เรื่องเขาวงกตก็ดูซับซ้อนดี มีกลไกเปิดปิดส่วนต่างๆตลอด
แต่อยู่ดีๆก็ผ่านเข้าไปในทางออกได้ง่ายๆในตอนจบ
ถึงจะมีให้ใส่รหัสก่อนก็เถอะ
ตัวเอกในเรื่องก็ยังงงว่าทำไมมีเกาหลีมาเด่นมากในหนังฝรั่ง
แต่ก็พบว่าคนชอบมินโฮ เกาหลีในเรื่องกันมาก
เรื่องที่ทุกคนอาศัยอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมตรงกลางเขาวงกตก็รู้สึกว่ามันแปลกที่ทำไมประตูปิดตอนเย็นทุกวัน ทำให้คิดว่านี่มันเป็นพื้นที่ปลอดภัย
(แล้วมันจะโดนจับมาเพื่อให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยทุกวันทำไม เลี้ยงไว้ดูเล่น?)
และเรื่องไม่มีสัตว์ประหลาดอะไรออกมาเลยตอนกลางวัน มันก็ทำให้คิดว่า ตอนกลางวันมันปลอดภัยที่จะเข้าไปในส่วนเขาวงกต (เป็นการทำให้คนสามารถออกไปค้นหาทางออกได้?)
แล้วตอนที่มีการปล่อยสัตว์ประหลาดออกมาตอนกลางวันช่วงท้ายๆเรื่อง เป็นการทำให้คิดว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นรึเปล่า ปล่อยออกมาเพื่ออะไร
มันก็มีส่วนที่งงอยู่หลายส่วนหรือจะไปอ่านหนังสือเพิ่มดี
แต่เห็นพวกในพันทิปก็บอกว่าส่วนเนื้อเรื่องบางส่วนไม่ตรงกับหนังสือ อย่างตอนที่พากันออกมาจากเขาวงกต และการดำเนินเรื่องในหนังสืออืดมาก
(แล้วมันจะโดนจับมาเพื่อให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยทุกวันทำไม เลี้ยงไว้ดูเล่น?)
และเรื่องไม่มีสัตว์ประหลาดอะไรออกมาเลยตอนกลางวัน มันก็ทำให้คิดว่า ตอนกลางวันมันปลอดภัยที่จะเข้าไปในส่วนเขาวงกต (เป็นการทำให้คนสามารถออกไปค้นหาทางออกได้?)
แล้วตอนที่มีการปล่อยสัตว์ประหลาดออกมาตอนกลางวันช่วงท้ายๆเรื่อง เป็นการทำให้คิดว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นรึเปล่า ปล่อยออกมาเพื่ออะไร
มันก็มีส่วนที่งงอยู่หลายส่วนหรือจะไปอ่านหนังสือเพิ่มดี
แต่เห็นพวกในพันทิปก็บอกว่าส่วนเนื้อเรื่องบางส่วนไม่ตรงกับหนังสือ อย่างตอนที่พากันออกมาจากเขาวงกต และการดำเนินเรื่องในหนังสืออืดมาก
จากการดูหนังเรื่อง As above So below (สปอยล์)
มีตั๋วดูหนังฟรีหลายใบเลยไปดูเรื่องนี้มา
ดูแล้วรู้สึกว่า หนังอะไรนี่เวียนหัวจริง หนังผีก็ไม่เชิง ออกมาแบบแปลกๆ
แต่ดูๆแล้วก็เหมือนจะให้ดูแล้วคิด
กล้องใช้การถ่ายแบบวิ่งตามไปกับนักแสดง คงเพราะถ่ายทำในที่แคบและมืดด้วย บางฉากเลยดูไม่ค่อยรู้เรื่องว่ามันทำอะไร มึน
ตัวแสดงจะฝังใจกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในอดีต ทำให้เจอกับสิ่งของ เหตุการณ์ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นๆอีกตอนลงไปสุสานใต้ดิน
คิดไปถึงว่าเวลาอย่างเข้าป่า ก็จะมีหลงป่า
เข้าสุสานนี่ก็คงคล้ายกัน
เกริ่นนำขึ้นมา ศึกษาวิจัย ทางโบราณคดี เข้าไปค้นหาวัตถุในสุสานใต้ดิน
เริ่มลงไปใต้ดิน ยิ่งลงไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็เหมือนเดิมเหมือนทางวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนสุดท้ายทิ้งตัวลงมาในบ่อ กลับกลายเป็นว่าออกมาที่ปากบ่อ
เจอฝาท่อ พยายามจะดันขึ้นเพื่อเปิด กลับไม่ออก ต้องผลักลงไป
แล้วก็ออกมาที่ถนนแบบกลับหัวออกมา
ที่ว่าจะเจอสมบัติก็เจอ ไขปริศนาก็มี ไขได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับมา
ช่วงนำเรื่องก็มีหลับไปเหมือนกัน มันเอื่อยๆ
แต่พอเข้าฉากแบบตัวนู่นนี่ออกมา ตายกัน ก็ลุ้นตลอด ประมาณว่าใครจะตายก่อน ตายยังไง
นางเอกกล้าบ้าบิ่นเกิน แถมคิดปริศนาอย่างเร็ว ยังไม่ทันคิดตามมันหาคำตอบเจอละ
สรุปแล้วถ้าเป็นคนดูหนังแบบไม่ได้จะไปดูมาวิเคราะห์ หรือมีตั๋วฟรี ก็คิดว่าไม่ควรไปดู
ถึงจะชอบดูหนังผี แต่มันก็ไม่เชิงเป็นแนวหนังผีหลอนน่ากลัว
ผีออกงงๆมากกว่า
ตอนท้ายเห็นคนในโรง(ซึ่งมีไม่กี่คน)ยังนั่งอยู่เลยรอดูบ้างอยู่ตรงทางออก
สักพักเห็นมีตัวหนังสือขึ้นว่า ทางออกมีทางเดียวคือข้างล่าง
เลยออกไปเลย คิดอยู่ว่า โรงหนังมันไล่ให้ออกไปรึเปล่า ประตูทางออกมันอยู่ด้านล่างพอดี
คิดๆดูแล้วเรื่องนี้มันก็อาจจะเป็นแนวแบบแฝงความคิดมากกว่าจะเป็นหนังผีรึเปล่า
มันก็มีฉากที่ทำให้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องแบบสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ รึเปล่า
ก็อย่างเช่น ที่นางเอกเห็นพ่อ แล้วเสียใจที่ไม่ได้รับโทรศัพท์พ่อ
ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีฉากที่โทรศัพท์ดังขึ้นแล้วนางเอกไปรับ มีเสียงพ่อพูด
สุดท้ายก็ขอโทษพ่อ แล้วพ่อก็หายไป
คิดว่าเป็นเหมือนชื่อหนัง as above so below ข้างล่างเป็นยังไง ข้างบนก็เป็นอย่างนั้น
และสิ่งที่อยู่ภายนอกเห็นยังไง ภายในใจก็เป็นอย่างนั้น อะไรอย่างนี้
ตอนก่อนจะเจอเรื่องแย่ๆก็เจอที่เขียนบนประตูทางเข้า เป็นสัญลักษณ์อย่างนึงที่เหมือนบ่งบอกว่ากำลังเข้าสู่นรก
พวกผีที่เจอมันเหมือนจะเป็นคนรู้จัก คนใกล้ชิด ที่มีปมร่วมกัน แบบว่าไปมีส่วนทำให้เขาตาย
จนรู้สึกผิดกัน เหมือนผีที่เจอก็ทำให้แต่ละคนตายๆกันไป
ดูแล้วก็คิดว่า บางทีสิ่งที่เราคิดในใจมันก็ทำให้เราวน คิดอยู่อย่างนั้น รู้สึกผิดวนไปวนมาอย่างนั้น
จนกระทั่งคิดได้ถึงจะหลุดออกมา เหมือนที่เราดูแล้วงง อยู่ๆก็ออกมาได้ซะงั้น
ดูแล้วรู้สึกว่า หนังอะไรนี่เวียนหัวจริง หนังผีก็ไม่เชิง ออกมาแบบแปลกๆ
แต่ดูๆแล้วก็เหมือนจะให้ดูแล้วคิด
กล้องใช้การถ่ายแบบวิ่งตามไปกับนักแสดง คงเพราะถ่ายทำในที่แคบและมืดด้วย บางฉากเลยดูไม่ค่อยรู้เรื่องว่ามันทำอะไร มึน
ตัวแสดงจะฝังใจกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในอดีต ทำให้เจอกับสิ่งของ เหตุการณ์ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นๆอีกตอนลงไปสุสานใต้ดิน
คิดไปถึงว่าเวลาอย่างเข้าป่า ก็จะมีหลงป่า
เข้าสุสานนี่ก็คงคล้ายกัน
เกริ่นนำขึ้นมา ศึกษาวิจัย ทางโบราณคดี เข้าไปค้นหาวัตถุในสุสานใต้ดิน
เริ่มลงไปใต้ดิน ยิ่งลงไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็เหมือนเดิมเหมือนทางวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนสุดท้ายทิ้งตัวลงมาในบ่อ กลับกลายเป็นว่าออกมาที่ปากบ่อ
เจอฝาท่อ พยายามจะดันขึ้นเพื่อเปิด กลับไม่ออก ต้องผลักลงไป
แล้วก็ออกมาที่ถนนแบบกลับหัวออกมา
ที่ว่าจะเจอสมบัติก็เจอ ไขปริศนาก็มี ไขได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับมา
ช่วงนำเรื่องก็มีหลับไปเหมือนกัน มันเอื่อยๆ
แต่พอเข้าฉากแบบตัวนู่นนี่ออกมา ตายกัน ก็ลุ้นตลอด ประมาณว่าใครจะตายก่อน ตายยังไง
นางเอกกล้าบ้าบิ่นเกิน แถมคิดปริศนาอย่างเร็ว ยังไม่ทันคิดตามมันหาคำตอบเจอละ
สรุปแล้วถ้าเป็นคนดูหนังแบบไม่ได้จะไปดูมาวิเคราะห์ หรือมีตั๋วฟรี ก็คิดว่าไม่ควรไปดู
ถึงจะชอบดูหนังผี แต่มันก็ไม่เชิงเป็นแนวหนังผีหลอนน่ากลัว
ผีออกงงๆมากกว่า
ตอนท้ายเห็นคนในโรง(ซึ่งมีไม่กี่คน)ยังนั่งอยู่เลยรอดูบ้างอยู่ตรงทางออก
สักพักเห็นมีตัวหนังสือขึ้นว่า ทางออกมีทางเดียวคือข้างล่าง
เลยออกไปเลย คิดอยู่ว่า โรงหนังมันไล่ให้ออกไปรึเปล่า ประตูทางออกมันอยู่ด้านล่างพอดี
คิดๆดูแล้วเรื่องนี้มันก็อาจจะเป็นแนวแบบแฝงความคิดมากกว่าจะเป็นหนังผีรึเปล่า
มันก็มีฉากที่ทำให้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องแบบสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ รึเปล่า
ก็อย่างเช่น ที่นางเอกเห็นพ่อ แล้วเสียใจที่ไม่ได้รับโทรศัพท์พ่อ
ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีฉากที่โทรศัพท์ดังขึ้นแล้วนางเอกไปรับ มีเสียงพ่อพูด
สุดท้ายก็ขอโทษพ่อ แล้วพ่อก็หายไป
คิดว่าเป็นเหมือนชื่อหนัง as above so below ข้างล่างเป็นยังไง ข้างบนก็เป็นอย่างนั้น
และสิ่งที่อยู่ภายนอกเห็นยังไง ภายในใจก็เป็นอย่างนั้น อะไรอย่างนี้
ตอนก่อนจะเจอเรื่องแย่ๆก็เจอที่เขียนบนประตูทางเข้า เป็นสัญลักษณ์อย่างนึงที่เหมือนบ่งบอกว่ากำลังเข้าสู่นรก
พวกผีที่เจอมันเหมือนจะเป็นคนรู้จัก คนใกล้ชิด ที่มีปมร่วมกัน แบบว่าไปมีส่วนทำให้เขาตาย
จนรู้สึกผิดกัน เหมือนผีที่เจอก็ทำให้แต่ละคนตายๆกันไป
ดูแล้วก็คิดว่า บางทีสิ่งที่เราคิดในใจมันก็ทำให้เราวน คิดอยู่อย่างนั้น รู้สึกผิดวนไปวนมาอย่างนั้น
จนกระทั่งคิดได้ถึงจะหลุดออกมา เหมือนที่เราดูแล้วงง อยู่ๆก็ออกมาได้ซะงั้น
วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557
สัมมนาของ TSI
ในเวบ TSI เขาจะมีให้สมัครแล้วสามารถเข้าไปจองสัมมนาความรู้ต่างๆได้ฟรี (มีอันที่เสียตังค์เหมือนกัน)
เพิ่งเริ่มเข้าไปจองกับเขา จริงๆคอร์สน่าสนใจต่างๆก็มีคนจองเต็มแล้วเลยเสี่ยง walk-in ดู
ก็เข้าไปลงทะเบียนหน้าห้องแล้วเข้าไปฟัง เมื่อวันเสาร์ที่ 13 กันยายน 2557
ของ TSI เขาจะไม่มีงบประมาณทั้งเรื่องเอกสาร ทั้งเรื่องอาหารว่าง
เอกสารเขามีเผยแพร่ในเวบ แต่ถ้าจะเอาเอกสารเป็นแผ่นๆที่เขาปริ๊นท์มาแจกก็ต้องจ่ายตังค์
พอลองไปฟังดูแล้วก็รู้สึกว่ามันเหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้น ไม่รู้อะไร จะได้ความรู้ไปครบ
แต่จะสามารถเก็บกลับไปครบได้รึเปล่ามันจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำความเข้าใจของแต่ละคน
อย่างเรานี่ก็รู้สึกว่า การค้นหาข้อมูลแต่ละอย่างด้วยตัวเอง แล้วนำมาปะติดปะต่อกัน มันจะไม่ครบสมบูรณ์เท่ากับที่เขามาปูพื้นฐานให้ครบถ้วนตั้งแต่เริ่มแรก
มาฟังครั้งนี้รู้สึกเราได้ข้อมูลเพิ่มเติมบางส่วนที่เรายังขาด
แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเกิดเข้ามาฟังเขาตั้งแต่ยังไม่รู้อะไรเลยก็คงทำให้มีข้อมูลใหม่เข้ามาเยอะมากในวันนั้น อาจจะเบลอแทนที่จะเข้าใจและเก็บไปใช้ได้ทั้งหมด
อาจจะต้องศึกษาอะไรมาบ้างแล้วเข้าไปฟังเก็บรายละเอียดส่วนที่เราข้ามไป
วันที่ไปดู เสาร์ที่ 13 กันยายน 2557 เขาสอนทั้งเรื่องพื้นฐานการลงทุน พื้นฐานการดูด้านเทคนิค
โดยเรื่องพื้นฐานการลงทุน คนที่มาสอนเขาก็เป็นอาจารย์อยู่ สอนได้ครอบคลุมหลายๆด้าน
มีสอนเช้า - บ่าย เต็มวัน เช้าเรื่องนึง บ่ายอีกเรื่องนึง
ติดอยู่ที่เดียวตรงที่เขาพยายามขาย set smart ซึ่งเป็นการจ่ายตังค์เข้าไปดูข้อมูล
ทั้งที่แหล่งดูข้อมูลฟรีมันก็มี ซึ่งเขาไม่ได้พรีเซนต์แหล่งข้อมูลฟรี ให้ดูแต่ส่วนที่ต้องเข้าโดยใช้ set smart
เพิ่งเริ่มเข้าไปจองกับเขา จริงๆคอร์สน่าสนใจต่างๆก็มีคนจองเต็มแล้วเลยเสี่ยง walk-in ดู
ก็เข้าไปลงทะเบียนหน้าห้องแล้วเข้าไปฟัง เมื่อวันเสาร์ที่ 13 กันยายน 2557
ของ TSI เขาจะไม่มีงบประมาณทั้งเรื่องเอกสาร ทั้งเรื่องอาหารว่าง
เอกสารเขามีเผยแพร่ในเวบ แต่ถ้าจะเอาเอกสารเป็นแผ่นๆที่เขาปริ๊นท์มาแจกก็ต้องจ่ายตังค์
พอลองไปฟังดูแล้วก็รู้สึกว่ามันเหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้น ไม่รู้อะไร จะได้ความรู้ไปครบ
แต่จะสามารถเก็บกลับไปครบได้รึเปล่ามันจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำความเข้าใจของแต่ละคน
อย่างเรานี่ก็รู้สึกว่า การค้นหาข้อมูลแต่ละอย่างด้วยตัวเอง แล้วนำมาปะติดปะต่อกัน มันจะไม่ครบสมบูรณ์เท่ากับที่เขามาปูพื้นฐานให้ครบถ้วนตั้งแต่เริ่มแรก
มาฟังครั้งนี้รู้สึกเราได้ข้อมูลเพิ่มเติมบางส่วนที่เรายังขาด
แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเกิดเข้ามาฟังเขาตั้งแต่ยังไม่รู้อะไรเลยก็คงทำให้มีข้อมูลใหม่เข้ามาเยอะมากในวันนั้น อาจจะเบลอแทนที่จะเข้าใจและเก็บไปใช้ได้ทั้งหมด
อาจจะต้องศึกษาอะไรมาบ้างแล้วเข้าไปฟังเก็บรายละเอียดส่วนที่เราข้ามไป
วันที่ไปดู เสาร์ที่ 13 กันยายน 2557 เขาสอนทั้งเรื่องพื้นฐานการลงทุน พื้นฐานการดูด้านเทคนิค
โดยเรื่องพื้นฐานการลงทุน คนที่มาสอนเขาก็เป็นอาจารย์อยู่ สอนได้ครอบคลุมหลายๆด้าน
มีสอนเช้า - บ่าย เต็มวัน เช้าเรื่องนึง บ่ายอีกเรื่องนึง
ติดอยู่ที่เดียวตรงที่เขาพยายามขาย set smart ซึ่งเป็นการจ่ายตังค์เข้าไปดูข้อมูล
ทั้งที่แหล่งดูข้อมูลฟรีมันก็มี ซึ่งเขาไม่ได้พรีเซนต์แหล่งข้อมูลฟรี ให้ดูแต่ส่วนที่ต้องเข้าโดยใช้ set smart
วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557
สรุปความรู้ที่ได้จากสัมมนา DW ของโบรกเกอร์ต่างๆ(2)
เรื่อง DW นี่มันซับซ้อนจริงๆ คำนวณก็ยาก แล้วก็ต้องมีตัวแปรที่จะเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ
แถมแต่ละโบรกเกอร์ก็ยังกำหนดราคา กำหนดค่าตัวแปรไม่เหมือนกันอีก
เวลาบางโบรกเกอร์ออก DW ทั้ง Call และ Put มา เราก็นั่งดูราคา
บางทีก็เห็นว่าอย่างฝั่ง call ราคาเปลี่ยน ไหงไอ้ฝั่ง Put ที่เป็นรุ่นเดียวกันเป๊ะ ราคามันไม่ขยับ
DW ที่โบรกเกอร์เป็นคนกำหนดราคา ซึ่งเรียกคนที่ดูแลว่า Market Maker หรือจะเรียกอีกอย่าง ก็คือ คนดูแลสภาพคล่อง
แถมแต่ละโบรกเกอร์ก็ยังกำหนดราคา กำหนดค่าตัวแปรไม่เหมือนกันอีก
เวลาบางโบรกเกอร์ออก DW ทั้ง Call และ Put มา เราก็นั่งดูราคา
บางทีก็เห็นว่าอย่างฝั่ง call ราคาเปลี่ยน ไหงไอ้ฝั่ง Put ที่เป็นรุ่นเดียวกันเป๊ะ ราคามันไม่ขยับ
DW ที่โบรกเกอร์เป็นคนกำหนดราคา ซึ่งเรียกคนที่ดูแลว่า Market Maker หรือจะเรียกอีกอย่าง ก็คือ คนดูแลสภาพคล่อง
ไปดูหนังเรื่อง The Maze Runner เมซ รันเนอร์ มา
ปกติก็ไม่ได้บัตรไปดูรอบพรีวิวแต่เมื่อวันก่อนเห็นเขาจัดงานในคิโนะคูนิยะที่พารากอนแล้วแจกเสื้อกับให้ดูรอบพรีวิวฟรี แล้วแม่เล่นเกมได้มา เลยได้ไปดู The Maze Runner มาเมื่อวันจันทร์ 15 กันยายน 2557
ที่เขาแบ่งบัตรมาก็ได้ไม่เยอะ เห็นมีของเอเชียบุ้คส์ก็มีแจก
เข้าไปดูในโรงก็คนไม่เต็ม ไม่รู้เป็นเพราะมีคนสละสิทธิ์ไม่มาดูรึเปล่า เลยทำให้หนาวมาก
เข้าไปดูที่โรง เมเจอร์สุขุมวิท ตรงเอกมัย จอดรถตรงตึกสหกรณ์กรุงเทพ 4 ชั่วโมง 20 บาท
ไม่ได้ดูตัวอย่างไปก่อน เห็นแต่พวกโปสเตอร์ ป้ายหน้าโรงหนัง ก็เห็นเป็นเรื่องเขาวงกต
ก็รู้สึกว่า เรื่องวิ่งในเขาวงกตแล้วหาทางออกไม่เจออะไรรึเปล่า
แต่แม่ก็บอกว่าเป็นเรื่องเหมือนเกม survivor
ได้ไปดูแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนเป็นเรื่องทางจิตวิทยา เรื่องการเอาตัวรอดของเด็กกลุ่มนึง ที่ทำให้เห็นคนกลุ่มต่างๆ สะท้อนคนในสังคมได้เหมือนกัน
ถ้าเราถูกจับไปไว้ในที่แบบนั้นบ้างจะ react ยังไงนะ หรืออาจจะไม่กล้าทำอะไรเลย อยู่แบบเดิมไปชั่วชีวิต
ไม่ค่อยเข้าใจส่วนที่เขาขึ้น subtitle แปลว่า "โลกนี้มันโหด "สักเท่าไหร่
แต่ดูจบแล้วก็เออ โลกนี้มันก็โหดจริงๆ เราก็อาจเป็นคนนึงที่อยู่ในเกมโดยไม่รู้ตัวก็ได้
มีต่อในบทความนี้
ดูเรื่อง เมซ รันเนอร์ Maze runner แล้วรู้สึกยังไง (สปอยล์)(ความเห็นส่วนตัว)
http://ainiyukimasu.blogspot.com/2014/09/maze-runner_24.html
ที่เขาแบ่งบัตรมาก็ได้ไม่เยอะ เห็นมีของเอเชียบุ้คส์ก็มีแจก
เข้าไปดูในโรงก็คนไม่เต็ม ไม่รู้เป็นเพราะมีคนสละสิทธิ์ไม่มาดูรึเปล่า เลยทำให้หนาวมาก
เข้าไปดูที่โรง เมเจอร์สุขุมวิท ตรงเอกมัย จอดรถตรงตึกสหกรณ์กรุงเทพ 4 ชั่วโมง 20 บาท
ไม่ได้ดูตัวอย่างไปก่อน เห็นแต่พวกโปสเตอร์ ป้ายหน้าโรงหนัง ก็เห็นเป็นเรื่องเขาวงกต
ก็รู้สึกว่า เรื่องวิ่งในเขาวงกตแล้วหาทางออกไม่เจออะไรรึเปล่า
แต่แม่ก็บอกว่าเป็นเรื่องเหมือนเกม survivor
ได้ไปดูแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนเป็นเรื่องทางจิตวิทยา เรื่องการเอาตัวรอดของเด็กกลุ่มนึง ที่ทำให้เห็นคนกลุ่มต่างๆ สะท้อนคนในสังคมได้เหมือนกัน
ถ้าเราถูกจับไปไว้ในที่แบบนั้นบ้างจะ react ยังไงนะ หรืออาจจะไม่กล้าทำอะไรเลย อยู่แบบเดิมไปชั่วชีวิต
ไม่ค่อยเข้าใจส่วนที่เขาขึ้น subtitle แปลว่า "โลกนี้มันโหด "สักเท่าไหร่
แต่ดูจบแล้วก็เออ โลกนี้มันก็โหดจริงๆ เราก็อาจเป็นคนนึงที่อยู่ในเกมโดยไม่รู้ตัวก็ได้
มีต่อในบทความนี้
ดูเรื่อง เมซ รันเนอร์ Maze runner แล้วรู้สึกยังไง (สปอยล์)(ความเห็นส่วนตัว)
http://ainiyukimasu.blogspot.com/2014/09/maze-runner_24.html
วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557
คนดังในการเล่นหุ้น ถ้าประสบความสำเร็จจริงจะเห็นในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่
บางคนที่บอกว่าตัวเองเป็นเซียนหุ้น ออกมาตามสื่อ เห็นในกลุ่มเฟซบุคหรืออะไรก็ตาม ก็อาจจะเริ่มเป็นที่สงสัยว่าเขาประสบความสำเร็จจริงมั้ย
บางคนที่ออกมาบอกว่าได้เยอะเท่านั้นเท่านี้ จริงๆแล้วเขาได้จริงมั้ย อะไรที่เราจะรู้ได้ในเมื่อเราไม่ได้ไปเห็นพอร์ตของเขา
ดูตามกระทู้ก็เห็นอย่างคอมเม้นต์ที่บอกว่า คนๆนี้ถ้าเขาได้จริงก็น่าะจะเห็นชื่อในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่
ก็รู้สึกว่า เออ นั่นสินะ ถ้ารวยมากจริงๆ ก็คงมีการเทคโอเวอร์บริษัทได้ อย่างพวกวอร์เรน บัฟเฟต อะไรอย่างนี้
แต่ก็ยังไม่เคยไปเสิร์ซอะไรจริงจังว่าคนดังคนนั้นคนนี้มีหุ้นในบริษัทอะไรเยอะ
สำหรับคุณเคน โสรัตน์
เคยไปฟังพูดสัมมนาที่เขาเป็นพิธีกร
ดูทีวีช่องของตลาดหลักทรัพย์ก็เจอเขาเพราะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในโครงการ Your first stock
ได้ยินว่าเขาก็ประสบความสำเร็จ
พอดีเห็นข่าวสรุปในเมลจากโบรกเกอร์เรื่องการซื้อขายหุ้นของผู้บริหาร ที่จะส่งมาเป็นระยะๆ
เจอชื่อเขาพอดี ว่าเขาซื้อหุ้น RS
เลยลองกดไปดูในข้อมูลบริษัท ส่วน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เจอจริงๆ
ว่าแต่ระดับนี้ยังมาพูดสัมมนาให้เราฟังนี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีของผู้น้อยอย่างเรามาก
http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=RS&language=th&country=TH
จาก เวบไซต์ตลาดหลักทรัพย์
บางคนที่ออกมาบอกว่าได้เยอะเท่านั้นเท่านี้ จริงๆแล้วเขาได้จริงมั้ย อะไรที่เราจะรู้ได้ในเมื่อเราไม่ได้ไปเห็นพอร์ตของเขา
ดูตามกระทู้ก็เห็นอย่างคอมเม้นต์ที่บอกว่า คนๆนี้ถ้าเขาได้จริงก็น่าะจะเห็นชื่อในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่
ก็รู้สึกว่า เออ นั่นสินะ ถ้ารวยมากจริงๆ ก็คงมีการเทคโอเวอร์บริษัทได้ อย่างพวกวอร์เรน บัฟเฟต อะไรอย่างนี้
แต่ก็ยังไม่เคยไปเสิร์ซอะไรจริงจังว่าคนดังคนนั้นคนนี้มีหุ้นในบริษัทอะไรเยอะ
สำหรับคุณเคน โสรัตน์
เคยไปฟังพูดสัมมนาที่เขาเป็นพิธีกร
ดูทีวีช่องของตลาดหลักทรัพย์ก็เจอเขาเพราะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในโครงการ Your first stock
ได้ยินว่าเขาก็ประสบความสำเร็จ
พอดีเห็นข่าวสรุปในเมลจากโบรกเกอร์เรื่องการซื้อขายหุ้นของผู้บริหาร ที่จะส่งมาเป็นระยะๆ
เจอชื่อเขาพอดี ว่าเขาซื้อหุ้น RS
เลยลองกดไปดูในข้อมูลบริษัท ส่วน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เจอจริงๆ
ว่าแต่ระดับนี้ยังมาพูดสัมมนาให้เราฟังนี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีของผู้น้อยอย่างเรามาก
http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=RS&language=th&country=TH
จาก เวบไซต์ตลาดหลักทรัพย์
สัมมนา money talk @set 14 กันยายน 2557
พอดี 14 ก.ย. 57 ไปสัมมนาช่วงเช้ากับโครงการ first stock เลยได้มีโอกาสเจองาน money talk ช่วงบ่าย
ทัน walk-in พอดี แต่ก็ไม่มีที่นั่ง คนเยอะมาก และได้นั่งที่บันได
คนนั่งที่บันไดเต็มทุกแถวและมีคนยืนด้านหลังด้วย ...ไม่เคยมางาน money talk มาก่อน ไม่เคยคิดว่าจะจองได้ด้วย แถมได้คูปองของว่างเป็นซาลาเปา ขนมปังและน้ำจากอเมซอน
วันนี้เป็นหัวข้อเจาะลึกหุ้นเข้าใหม่
เจอผู้บริหารธุรกิจที่เข้าตลาดมาไม่นานตามนี้
Sawad(ศรีสวัสดิ์)
Sutha (สุธากัญจน์)
Ktis (เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ )
Takuni (ทาคูนิ)
ประเด็นที่ให้พูดก็เป็นเรื่อง
แต่ละบริษัททำธุรกิจอะไร
ผลประกอบการ/แนวโน้ม
ทำไมจึงน่าซื้อ
----------------------------------------------------------------------------------------------
รวบรวมมาตามความเข้าใจตามนี้
Sawad(ศรีสวัสดิ์)
รายละเอียด ให้บริการสินเชื่อโดยมีหลักประกัน อย่างรถ บ้าน คอนโด
ก็มีวงเงินที่จะให้สินเชื่อจำกัดแบบคิด 30-70 เปอร์เซ็นต์ของราคาตลาดหลักประกัน (ไม่ใช่ราคามือหนึ่ง)
ดอกเบี้ยคิดตามกฎหมาย 15 เปอร์เซ็นต์
เน้นเป็นกันเอง สะดวก ใกล้บ้าน
มีการเติบโตขยายสาขา ปี57 1000 สาขา ปี 58 1200 สาขา
จะเพิ่มการขายประกันชีวิต สุขภาพ ประกันภัย
ครึ่งปีแรก กำไร 363 ล้านบาท โต 25-30 เปอร์เซ็นต์เทียบกับปี 56
Sutha (สุธากัญจน์)
ทำเกี่ยวกับปูนขาว โดยนำหินปูนมาเผาในเตา แต่ไม่มีเหมืองเอง จะทำสัญญากันล่วงหน้าและมีการส่งนักธรณีวิทยาเข้าไปช่วยวิเคราะห์แนะนำที่เหมือง
เน้นความเชี่ยวชาญ รู้จริง
การเผามีการควบคุมโดยระบบ ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
ปูนขาว เป็นด่างที่นำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม
เช่น เพาะปลูกก็ใช้ปรับดิน ใช้ในอุตสาหกรรมเหล็ก กระดาษ โรงงานน้ำตาลก็ด้วย
กำไร ผลงานตามที่ตั้งใจ มากกว่าปีที่แล้ว 23 เปอร์เซ็นต์ (ดูในเวบ set กำไร 73.89 ล้าน)
6เดือนหลัง ตามเป้า 20-25 เปอร์เซนต์
ความต้องการด้านเคมียังโตต่อได้เรื่อยๆ จากความต้องการเพิ่มตามสัดส่วนประชากร
Ktis (เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ )
ทำน้ำตาลโดยมีการแบ่งผลประโยชน์กับชาวไร่อ้อย 70 เปอร์เซนต์ ทางโรงงาน 30 เปอร์เซนต์
มีการนำชานอ้อยที่เหลือมาทำเป็นพลังงาน ชีวพลังงาน
จะมีการแปรรูปน้ำตาลในรูปแบบต่างๆ มีร่วมมือกับต่างชาติอย่างร่วมกับทางญี่ปุ่น
กำไร ครึ่งปี 1165 ล้าน เพิ่ม 28 เปอร์เซนต์จากปีที่แล้ว
มี 3โครงการ มีโรงไฟฟ้า 50 เมกกะวัตต์ 2 โรง กำลังก่อสร้าง
Takuni (ทาคูนิ)
มาจากชื่อ ลูกชาย + ลูกสาว ฐากูร+นิตา (ไม่เกี่ยวกับญี่ปุ่น)
เกี่ยวกับแก๊ส ซื้อขาย ขนส่งแก๊ส LPG ราคาที่ขึ้นลง ไม่ส่งผลกระทบ
ราคาเปลี่ยนจะส่งผลต่อส่วนที่จะต้องส่งให้รัฐ
บริษัทย่อย
จีแก๊สโลจิสติกส์-รับส่งของ ปตท. เอสโซ่ สยามแก๊ส
ทาคูนิ (ประเทศไทย) - ติดตั้งแก๊สรถยนต์ ติดตั้งระบบท่อแก๊สตามโรงงาน/ร้านอาหาร รับเหมา ให้เช่าตึก
ราชพฤกษ์วิศวกรรม- ทำการทดสอบโดยไม่ทำลาย เช่นทดสอบถังแรงดัน
ครึ่งปี จดมาได้ว่า รายได้ 577 ล้าน 4 บริษัทรวม กำไร 14.6 ล้าน
แต่ดูในเวบ set รายได้ 557 ล้าน 4 บริษัทรวม กำไร 14.3 ล้าน
อันนี้ไม่แน่ใจว่าจดผิดมั้ย
ทัน walk-in พอดี แต่ก็ไม่มีที่นั่ง คนเยอะมาก และได้นั่งที่บันได
คนนั่งที่บันไดเต็มทุกแถวและมีคนยืนด้านหลังด้วย ...ไม่เคยมางาน money talk มาก่อน ไม่เคยคิดว่าจะจองได้ด้วย แถมได้คูปองของว่างเป็นซาลาเปา ขนมปังและน้ำจากอเมซอน
วันนี้เป็นหัวข้อเจาะลึกหุ้นเข้าใหม่
เจอผู้บริหารธุรกิจที่เข้าตลาดมาไม่นานตามนี้
Sawad(ศรีสวัสดิ์)
Sutha (สุธากัญจน์)
Ktis (เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ )
Takuni (ทาคูนิ)
ประเด็นที่ให้พูดก็เป็นเรื่อง
แต่ละบริษัททำธุรกิจอะไร
ผลประกอบการ/แนวโน้ม
ทำไมจึงน่าซื้อ
----------------------------------------------------------------------------------------------
รวบรวมมาตามความเข้าใจตามนี้
Sawad(ศรีสวัสดิ์)
รายละเอียด ให้บริการสินเชื่อโดยมีหลักประกัน อย่างรถ บ้าน คอนโด
ก็มีวงเงินที่จะให้สินเชื่อจำกัดแบบคิด 30-70 เปอร์เซ็นต์ของราคาตลาดหลักประกัน (ไม่ใช่ราคามือหนึ่ง)
ดอกเบี้ยคิดตามกฎหมาย 15 เปอร์เซ็นต์
เน้นเป็นกันเอง สะดวก ใกล้บ้าน
มีการเติบโตขยายสาขา ปี57 1000 สาขา ปี 58 1200 สาขา
จะเพิ่มการขายประกันชีวิต สุขภาพ ประกันภัย
ครึ่งปีแรก กำไร 363 ล้านบาท โต 25-30 เปอร์เซ็นต์เทียบกับปี 56
Sutha (สุธากัญจน์)
ทำเกี่ยวกับปูนขาว โดยนำหินปูนมาเผาในเตา แต่ไม่มีเหมืองเอง จะทำสัญญากันล่วงหน้าและมีการส่งนักธรณีวิทยาเข้าไปช่วยวิเคราะห์แนะนำที่เหมือง
เน้นความเชี่ยวชาญ รู้จริง
การเผามีการควบคุมโดยระบบ ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
ปูนขาว เป็นด่างที่นำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม
เช่น เพาะปลูกก็ใช้ปรับดิน ใช้ในอุตสาหกรรมเหล็ก กระดาษ โรงงานน้ำตาลก็ด้วย
กำไร ผลงานตามที่ตั้งใจ มากกว่าปีที่แล้ว 23 เปอร์เซ็นต์ (ดูในเวบ set กำไร 73.89 ล้าน)
6เดือนหลัง ตามเป้า 20-25 เปอร์เซนต์
ความต้องการด้านเคมียังโตต่อได้เรื่อยๆ จากความต้องการเพิ่มตามสัดส่วนประชากร
Ktis (เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ )
ทำน้ำตาลโดยมีการแบ่งผลประโยชน์กับชาวไร่อ้อย 70 เปอร์เซนต์ ทางโรงงาน 30 เปอร์เซนต์
มีการนำชานอ้อยที่เหลือมาทำเป็นพลังงาน ชีวพลังงาน
จะมีการแปรรูปน้ำตาลในรูปแบบต่างๆ มีร่วมมือกับต่างชาติอย่างร่วมกับทางญี่ปุ่น
กำไร ครึ่งปี 1165 ล้าน เพิ่ม 28 เปอร์เซนต์จากปีที่แล้ว
มี 3โครงการ มีโรงไฟฟ้า 50 เมกกะวัตต์ 2 โรง กำลังก่อสร้าง
Takuni (ทาคูนิ)
มาจากชื่อ ลูกชาย + ลูกสาว ฐากูร+นิตา (ไม่เกี่ยวกับญี่ปุ่น)
เกี่ยวกับแก๊ส ซื้อขาย ขนส่งแก๊ส LPG ราคาที่ขึ้นลง ไม่ส่งผลกระทบ
ราคาเปลี่ยนจะส่งผลต่อส่วนที่จะต้องส่งให้รัฐ
บริษัทย่อย
จีแก๊สโลจิสติกส์-รับส่งของ ปตท. เอสโซ่ สยามแก๊ส
ทาคูนิ (ประเทศไทย) - ติดตั้งแก๊สรถยนต์ ติดตั้งระบบท่อแก๊สตามโรงงาน/ร้านอาหาร รับเหมา ให้เช่าตึก
ราชพฤกษ์วิศวกรรม- ทำการทดสอบโดยไม่ทำลาย เช่นทดสอบถังแรงดัน
ครึ่งปี จดมาได้ว่า รายได้ 577 ล้าน 4 บริษัทรวม กำไร 14.6 ล้าน
แต่ดูในเวบ set รายได้ 557 ล้าน 4 บริษัทรวม กำไร 14.3 ล้าน
อันนี้ไม่แน่ใจว่าจดผิดมั้ย
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557
ตลาดหลักทรัพย์ เดินทาง จอดรถ เข้าตึก กินข้าว
ช่วงว่างๆมีเวลาลงทะเบียนสัมมนาที่ตลาดหลักทรัพย์ทันก็จะได้ไปสัมมนาบ่อยๆ นั่งฟังได้ความรู้ได้มุมมองของนักวิชาการ นักวิเคราะห์หลายคนดีเอาไว้ประกอบการพิจารณาของเรา
เรื่องกิน+เดินทาง
พอมาตลาดหลักทรัพย์บ่อยๆก็เลยเห็นว่าบางอย่างมันก็เหมือนจะสะดวกแต่ก็อยากหาจุดอื่นๆไปบ้าง เริ่มเบื่อกินที่เดิมๆ
เลยลองกินตรงใต้ตึกจอดรถด้านหลังบ้าง กินในเซเว่นข้างศูนย์สิริกิตต์บ้าง ไปตลาดคลองเตยบ้าง ไปอโศก(เทอร์มินัล)บ้าง
ใต้ตึกจอดรถก็มีโรงอาหารแต่ก็ดูเงียบเหงามีไม่กี่ร้าน ต้องให้ซื้อคูปอง ราคาไม่แพงเท่าศูนย์สิริกิตต์ (ประมาณสามสิบกว่าบาท) แต่เวลาคนเยอะก็ขายหมดเร็ว และจานเล็ก แถมไม่น่ากินเหมือนในศูนย์สิริกิตต์ แถมเปิดแค่วันธรรมดา
ของศูนย์สิริกิตต์เมนูทั่วๆไปก็ห้าสิบบาท ถูกลงมาหน่อยมี 45 บาท แต่เดี๋ยวนี้ก็มีพวกขนมอย่างเครปนิ่มๆ วาฟเฟิล ไอติม น้ำ คอยล่อเราให้ซื้อกิน ทำให้บางทีกินเกินงบที่คิดไว้มาก
หรือบางทีเจองานแสดงสินค้า เผลอซื้อของชิ้นใหญ่ไปอีก (อันนี้อันตรายจริงๆ)
วันที่ไม่มีงานแสดงอะไรก็อาจจะปิดประตูที่เข้าศูนย์อาหารจากด้านข้างตึก
เมนูในเซเว่นเล็กๆ นี่เวลามางานที่ศูนย์สิริกิตต์ต้องเข้าแถวยาว ยื่นข้าวกล่องให้เวฟก่อนไปต่อแถว
เซเว่นก็อยู่ข้างศูนย์สิริกิตต์ฝั่งติดตลาดหลักทรัพย์ เดินเลยจากทางเข้าศูนย์อาหารไปหน่อย
(ช่วงเร่งรีบเขาก็มีอบแซนด์วิช /ไส้กรอกมาใส่ตู้รอให้หยิบได้เลย)
ประตูรั้วของตลาดหลักทรัพย์ที่เปิดให้เดินไปศูนย์สิริกิตต์ใกล้ๆก็เห็นเปิดเฉพาะช่วงวันธรรมดา
ช่วงวันหยุดจะล็อคโซ่ไว้ ก็เดินอ้อมนิดหน่อย ไปจากทางออกของรถยนต์
จริงๆอย่างตรงโรงงานยาสูบที่เป็นที่จอดรถเพิ่มเติมหลังศูนบ์สิริกิตต์ก็เคยเห็นมีเต้นท์ และมีขายข้าว น้ำชากาแฟตอนกลางวัน ราคาสำหรับคนทำงานแถวนั้นกินกัน เดินตรงไปจากประตูที่รถเข้าผ่านหน้าเซเว่น ตรงไปผ่านประตูรั้วไปที่จอดรถตรงโรงงานยาสูบก็จะเห็น
ถ้าสัมมนาแค่ช่วงบ่าย/เย็น ตอนกลับก็จะไปขึ้นรถเมล์ที่ผ่านเส้นพระรามสี่ได้ตรงตลาดคลองเตย
เดินจากตลาดหลักทรัพย์เลี้ยวขวาไปทางแยกคลองเตย ผ่านหน้าทางลงรถไฟใต้ดิน (สถานีศูนย์สิริกิตต์ทางออกตลาดหลักทรัพย์)
ไปเจอสะพานลอยที่เชื่อมกันเป็นสี่เหลี่ยม(จริงๆน่าจะห้าหกเหลี่ยม)ข้ามได้ทุกแยกตรงคลองเตย
ถ้าเดินข้ามแยกไปทางซ้ายป้ายรถเมล์จะใกล้หน่อย ตรงตลาดมีคนรอเยอะ ทางขวาไกลหน่อย
ส่วนที่กินตอนเย็น-ค่ำ จะไปกินทางฝั่งขวาก็มีร้านเปิดหลายร้านตามทางราคาตลาด ประมาณสามสิบบาท
เดินตรงขึ้นสะพานลอย ข้ามแยกไป ลงไปทางขวา
(ช่วงเช้า-กลางวันร้านข้าวจะอยู่ในซอยในตลาด)
ส่วนระยะห่างจากเทอร์มินอล ห่างมาก เดินไปไม่ชิว อาจเหงื่อแตกพลั่กก่อนถึง
เดินผ่านสวนสาธารณะไปอย่างยาว เหมาะสำหรับเวลาต้องการออกกำลังกายจริงๆ
ไปเทอร์มินัลด้วยรถใต้ดินจะดีสุด เพราะรถส่วนตัวก็ไปติดแหง็กอยู่แถวแยกอโศก-สุขุมวิท
มีรถเมล์ทางที่ไปแยกอโศกสามารถไปขึ้นได้ตรงป้ายก่อนถึงสะพานลอยแต่น้อยสาย รอนาน
(แต่มีรถเมล์ฟรี่ผ่านอยู่ 136)
จริงๆตรงข้ามสวนสาธารณะข้างศูนย์สิริกิตต์ก็มีพวกตึกที่ทำงานและมีศูนย์อาหาร แต่เดินก็ไกลอยู่ดี
เรื่องจอดรถ
ปกติเวลาสัมมนา จอดรถตรงตึกด้านหลังเขาก็จะให้ปั๊มบัตรสามารถจอดรถได้ฟรี บางงานก็ปั๊มจอดได้ทั้งวัน
มาห้องสมุดก็ปั๊มได้แต่ก็ได้ไม่กี่ชั่วโมง น่าจะ 4 ชั่วโมง
ตึกจอดรถ จะมีเขียนว่าจอดได้ตั้งแต่ชั้น 3a
มีลิฟท์ที่จอดรถทั้งสองฝั่ง แบบอย่าง 3a ก็ส่วน ฝั่งด้านติดกับตึกหน้า 3b ก็เจอลิฟท์อีกตัว ลงไปหลังตึกจอดรถต้องเดินอ้อมมาด้านหน้า
ตอนไปจอดครั้งแรกก็งงเล็กน้อยว่ามันลิฟท์คนละตัวกัน
เข้าตึก
ตึกตลาดหลักทรัพย์นี่จะมีห้องสมุดอยู่ขวามือ (ถ้าหันหน้าเข้าหาตึก)
ทางเข้าสำหรับส่วน office ตลาดหลักทรัพย์ จะอยู่ตรงกลางตึก
เวลาเข้าตึก จะเห็นประตูกระจกตรงส่วนสีขาวทึบๆ เป็นบานประตูทางเข้า
เข้าไปต้องสแกนกระเป๋า มีเครื่องสแกนเหมือนสนามบิน ส่วนที่คนผ่านถ้าจะไม่ให้ดังก็เอาโลหะอย่างเหรียญ / มือถือ ออกใส่ตะกร้าก่อน แต่ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้ซีเรียสแบบดังแล้วกักตัวตรวจเหมือนสนามบิน
ถ้าไปชั้น 1-3 ก็จะไม่ต้องแลกบัตร
มีบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้น 2- 3 ได้เลย อยู่ทางซ้ายของเค้าน์เตอร์แลกบัตร
ชั้นสองจะเป็นส่วนของ money channel แต่ก็มีห้องน้ำสำรองสำหรับเวลาสัมมนามาใช้ตรงนี้ได้
ชั้นสาม เป็นห้องพวกสอบ license, ห้องเรียน tsi , ห้องศาสตราจารย์สังเวียน ซึ่งเป็นห้องใหญ่ ลงทะเบียนได้หน้าห้อง ขึ้นบันไดเลื่อนไปก็เจอห้องศ.สังเวียนอยู่ตรงหน้า ส่วนโต๊ะลงทะเบียนอยู่ทางซ้าย
ถ้าเป็นพวก opportunity day หรือสัมมนาเล็กๆตอนเย็น อาจจะจัดที่ชั้น 11 ซึ่งต้องแลกบัตรเข้าไป
ก็ใช้บัตรปชช.หรือใบขับขี่แลกบัตร เอามาแตะตรงทางเข้าไปลิฟท์ จะมีรปภ.บอกให้แตะบัตร
ชั้น 11 ใช้ลิฟต์ได้ทุกตัว แต่ชั้นอื่นจะมีระบุไว้ว่าตัวไหนได้
เวลาสัมมนาเลิก 2-3 ทุ่ม ประตูด้านหน้าจะปิด จะออกทางหนีไฟข้างๆลิฟท์ไปหลังตึก ออกไปก็เจอตึกที่จอดรถ
ถ้าอ้อมมาออกประตูด้านหน้า (ถ้าหันหน้าเข้าตึกจอดรถ)เลี้ยวขวาเดินออกมาใกล้ประตูทางออกมากกว่า
ประตูฝั่งรถเข้าเขาจะปิด เดินออกไม่ได้
ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ข้างสถานทูตจีน
ตลาดหลักทรัพย์ใหม่เปิดตั้งแต่ต้นปี 59 ทำให้โรงอาหารที่เก่าปิดไป แต่ห้องสมุดยังเปิดอยู่
(update 2017 ห้องสมุดที่ตลาดหลักทรัพย์เก่าปิดไปแล้ว)
เรื่องกิน+เดินทาง
พอมาตลาดหลักทรัพย์บ่อยๆก็เลยเห็นว่าบางอย่างมันก็เหมือนจะสะดวกแต่ก็อยากหาจุดอื่นๆไปบ้าง เริ่มเบื่อกินที่เดิมๆ
เลยลองกินตรงใต้ตึกจอดรถด้านหลังบ้าง กินในเซเว่นข้างศูนย์สิริกิตต์บ้าง ไปตลาดคลองเตยบ้าง ไปอโศก(เทอร์มินัล)บ้าง
ใต้ตึกจอดรถก็มีโรงอาหารแต่ก็ดูเงียบเหงามีไม่กี่ร้าน ต้องให้ซื้อคูปอง ราคาไม่แพงเท่าศูนย์สิริกิตต์ (ประมาณสามสิบกว่าบาท) แต่เวลาคนเยอะก็ขายหมดเร็ว และจานเล็ก แถมไม่น่ากินเหมือนในศูนย์สิริกิตต์ แถมเปิดแค่วันธรรมดา
ของศูนย์สิริกิตต์เมนูทั่วๆไปก็ห้าสิบบาท ถูกลงมาหน่อยมี 45 บาท แต่เดี๋ยวนี้ก็มีพวกขนมอย่างเครปนิ่มๆ วาฟเฟิล ไอติม น้ำ คอยล่อเราให้ซื้อกิน ทำให้บางทีกินเกินงบที่คิดไว้มาก
หรือบางทีเจองานแสดงสินค้า เผลอซื้อของชิ้นใหญ่ไปอีก (อันนี้อันตรายจริงๆ)
วันที่ไม่มีงานแสดงอะไรก็อาจจะปิดประตูที่เข้าศูนย์อาหารจากด้านข้างตึก
เมนูในเซเว่นเล็กๆ นี่เวลามางานที่ศูนย์สิริกิตต์ต้องเข้าแถวยาว ยื่นข้าวกล่องให้เวฟก่อนไปต่อแถว
เซเว่นก็อยู่ข้างศูนย์สิริกิตต์ฝั่งติดตลาดหลักทรัพย์ เดินเลยจากทางเข้าศูนย์อาหารไปหน่อย
(ช่วงเร่งรีบเขาก็มีอบแซนด์วิช /ไส้กรอกมาใส่ตู้รอให้หยิบได้เลย)
ประตูรั้วของตลาดหลักทรัพย์ที่เปิดให้เดินไปศูนย์สิริกิตต์ใกล้ๆก็เห็นเปิดเฉพาะช่วงวันธรรมดา
ช่วงวันหยุดจะล็อคโซ่ไว้ ก็เดินอ้อมนิดหน่อย ไปจากทางออกของรถยนต์
จริงๆอย่างตรงโรงงานยาสูบที่เป็นที่จอดรถเพิ่มเติมหลังศูนบ์สิริกิตต์ก็เคยเห็นมีเต้นท์ และมีขายข้าว น้ำชากาแฟตอนกลางวัน ราคาสำหรับคนทำงานแถวนั้นกินกัน เดินตรงไปจากประตูที่รถเข้าผ่านหน้าเซเว่น ตรงไปผ่านประตูรั้วไปที่จอดรถตรงโรงงานยาสูบก็จะเห็น
ถ้าสัมมนาแค่ช่วงบ่าย/เย็น ตอนกลับก็จะไปขึ้นรถเมล์ที่ผ่านเส้นพระรามสี่ได้ตรงตลาดคลองเตย
เดินจากตลาดหลักทรัพย์เลี้ยวขวาไปทางแยกคลองเตย ผ่านหน้าทางลงรถไฟใต้ดิน (สถานีศูนย์สิริกิตต์ทางออกตลาดหลักทรัพย์)
ไปเจอสะพานลอยที่เชื่อมกันเป็นสี่เหลี่ยม(จริงๆน่าจะห้าหกเหลี่ยม)ข้ามได้ทุกแยกตรงคลองเตย
ถ้าเดินข้ามแยกไปทางซ้ายป้ายรถเมล์จะใกล้หน่อย ตรงตลาดมีคนรอเยอะ ทางขวาไกลหน่อย
ส่วนที่กินตอนเย็น-ค่ำ จะไปกินทางฝั่งขวาก็มีร้านเปิดหลายร้านตามทางราคาตลาด ประมาณสามสิบบาท
เดินตรงขึ้นสะพานลอย ข้ามแยกไป ลงไปทางขวา
(ช่วงเช้า-กลางวันร้านข้าวจะอยู่ในซอยในตลาด)
ส่วนระยะห่างจากเทอร์มินอล ห่างมาก เดินไปไม่ชิว อาจเหงื่อแตกพลั่กก่อนถึง
เดินผ่านสวนสาธารณะไปอย่างยาว เหมาะสำหรับเวลาต้องการออกกำลังกายจริงๆ
ไปเทอร์มินัลด้วยรถใต้ดินจะดีสุด เพราะรถส่วนตัวก็ไปติดแหง็กอยู่แถวแยกอโศก-สุขุมวิท
มีรถเมล์ทางที่ไปแยกอโศกสามารถไปขึ้นได้ตรงป้ายก่อนถึงสะพานลอยแต่น้อยสาย รอนาน
(แต่มีรถเมล์ฟรี่ผ่านอยู่ 136)
จริงๆตรงข้ามสวนสาธารณะข้างศูนย์สิริกิตต์ก็มีพวกตึกที่ทำงานและมีศูนย์อาหาร แต่เดินก็ไกลอยู่ดี
เรื่องจอดรถ
ปกติเวลาสัมมนา จอดรถตรงตึกด้านหลังเขาก็จะให้ปั๊มบัตรสามารถจอดรถได้ฟรี บางงานก็ปั๊มจอดได้ทั้งวัน
มาห้องสมุดก็ปั๊มได้แต่ก็ได้ไม่กี่ชั่วโมง น่าจะ 4 ชั่วโมง
ตึกจอดรถ จะมีเขียนว่าจอดได้ตั้งแต่ชั้น 3a
มีลิฟท์ที่จอดรถทั้งสองฝั่ง แบบอย่าง 3a ก็ส่วน ฝั่งด้านติดกับตึกหน้า 3b ก็เจอลิฟท์อีกตัว ลงไปหลังตึกจอดรถต้องเดินอ้อมมาด้านหน้า
ตอนไปจอดครั้งแรกก็งงเล็กน้อยว่ามันลิฟท์คนละตัวกัน
เข้าตึก
ตึกตลาดหลักทรัพย์นี่จะมีห้องสมุดอยู่ขวามือ (ถ้าหันหน้าเข้าหาตึก)
ทางเข้าสำหรับส่วน office ตลาดหลักทรัพย์ จะอยู่ตรงกลางตึก
เวลาเข้าตึก จะเห็นประตูกระจกตรงส่วนสีขาวทึบๆ เป็นบานประตูทางเข้า
เข้าไปต้องสแกนกระเป๋า มีเครื่องสแกนเหมือนสนามบิน ส่วนที่คนผ่านถ้าจะไม่ให้ดังก็เอาโลหะอย่างเหรียญ / มือถือ ออกใส่ตะกร้าก่อน แต่ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้ซีเรียสแบบดังแล้วกักตัวตรวจเหมือนสนามบิน
ถ้าไปชั้น 1-3 ก็จะไม่ต้องแลกบัตร
มีบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้น 2- 3 ได้เลย อยู่ทางซ้ายของเค้าน์เตอร์แลกบัตร
ชั้นสองจะเป็นส่วนของ money channel แต่ก็มีห้องน้ำสำรองสำหรับเวลาสัมมนามาใช้ตรงนี้ได้
ชั้นสาม เป็นห้องพวกสอบ license, ห้องเรียน tsi , ห้องศาสตราจารย์สังเวียน ซึ่งเป็นห้องใหญ่ ลงทะเบียนได้หน้าห้อง ขึ้นบันไดเลื่อนไปก็เจอห้องศ.สังเวียนอยู่ตรงหน้า ส่วนโต๊ะลงทะเบียนอยู่ทางซ้าย
ถ้าเป็นพวก opportunity day หรือสัมมนาเล็กๆตอนเย็น อาจจะจัดที่ชั้น 11 ซึ่งต้องแลกบัตรเข้าไป
ก็ใช้บัตรปชช.หรือใบขับขี่แลกบัตร เอามาแตะตรงทางเข้าไปลิฟท์ จะมีรปภ.บอกให้แตะบัตร
ชั้น 11 ใช้ลิฟต์ได้ทุกตัว แต่ชั้นอื่นจะมีระบุไว้ว่าตัวไหนได้
เวลาสัมมนาเลิก 2-3 ทุ่ม ประตูด้านหน้าจะปิด จะออกทางหนีไฟข้างๆลิฟท์ไปหลังตึก ออกไปก็เจอตึกที่จอดรถ
ถ้าอ้อมมาออกประตูด้านหน้า (ถ้าหันหน้าเข้าตึกจอดรถ)เลี้ยวขวาเดินออกมาใกล้ประตูทางออกมากกว่า
ประตูฝั่งรถเข้าเขาจะปิด เดินออกไม่ได้
ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ข้างสถานทูตจีน
ตลาดหลักทรัพย์ใหม่เปิดตั้งแต่ต้นปี 59 ทำให้โรงอาหารที่เก่าปิดไป แต่ห้องสมุดยังเปิดอยู่
(update 2017 ห้องสมุดที่ตลาดหลักทรัพย์เก่าปิดไปแล้ว)
ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น SIRI 12 กันยายน 2557
วันนี้(12 กันยายน 2557)ไปประชุมผู้ถือหุ้นของ SIRI มา
พบผู้สูงวัยจำนวนพอสมควรที่ถือหุ้นนี้แล้วบอกว่าขาดทุนอยู่
และมีคนเข้ามาพูดคุยกันหลายกลุ่ม แบ่งปันประสบการณ์บรรยากาศดูเป็นกันเองดีถึงแม้ดูเหมือนจะขาดทุนกันอยู่ และก็มีการเตือนกันในเรื่องการลงทุน
อันนี้ก็ดูเป็นเรื่องที่ดีที่ได้มารวมกลุ่มพบปะกัน
คาดว่ากลุ่มต่างๆที่รวมตัวกันอาจจะเคยพบกันมาหลายรอบตามการประชุมแต่ละครั้ง
รู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการคาดหวังให้กิจการกลับมาดี เกลี้ยกล่อมผู้บริหารอย่าขายหุ้น (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาจะขายหุ้นมาใช้หนี้จากการกู้ยืม (มาซื้อหุ้น?)อีกเมื่อไหร่)
มีคนให้ความเห็นแสดงความเป็นห่วงในกิจการ ผู้ถือหุ้นต่างอยากถามผู้บริหารในหลายๆด้านมากมาย
ทั้งในเรื่องการขายหุ้นของผู้บริหารที่เคยเกิดขึ้น
การนำเงินเพิ่มทุนไปลงทุนอะไร ไปใช้หนี้ อยากให้ระบุให้ชัด
สินค้าคงเหลือที่มีอยู่มีอะไรสัดส่วนเท่าไหร่ ระยะเวลาที่จะขายออกไป
ทิศทางการขยายกิจการต่อไป (ลดสัดส่วนต่างจังหวัด)
เพิ่มทุน แจกวอร์แรนต์ไป ราคาใช้สิทธิ 2.5 บาท วอร์แรนต์จะมีค่าหรือไม่
ค่าใช้จ่ายในการโปรโหมตแบรนด์ จะมีแนวโน้มกลับมาเพิ่มในอนาคต?
เรื่องการให้สิทธิหุ้นกับพนักงาน (ESOP) ให้โบนัสจะจูงใจพนักงานมากกว่ามั้ย
หลายๆอย่างผู้บริหารก็ไม่ได้ตอบในทันที คือเหมือนให้คนถัดไปพูดเลย
บางอย่างก็ยังไม่มีข้อมูล ต้องให้เจ้าหน้าที่ตอบ และท้ายๆก็เริ่มพูดติดๆขัดๆแล้ว
แบบอยากปิดประชุมแต่คนถามยังอยากถามต่อ
เลยมีหลายคำถามที่เหมือนยังไม่ชัดเจน
รายละเอียดที่รวบรวมมาได้
เรื่องนโยบาย
ต่อไปการวางแผนการเติบโตของเขาก็ไม่ได้จะขยายให้เติบโตมากเหมือนปีก่อนๆ
เนื่องจากมองภาพรวมเศรษฐกิจด้วย
ขยาย 7-15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
จะทำให้หนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1 เท่าในปี 2560
มี backlog ซึ่งจะรับรู้ในอีก 4 ปี
ครึ่งปีหลัง1หมื่น 4 พันล้าน ปีหน้า 23,600 ล้าน
มีการสร้างฐานให้โตมาก่อนหน้า ดังนั้นช่วงปีต่อๆไปอาจไม่ต้องพึ่งให้ยอดขายเข้ามามาก
ใน2ปีที่ผ่านมามีการขยายไปต่างจังหวัดมาก 40 เปอร์เซ็นต์ ใน 13 จังหวัด
40 เปอร์เซ็นต์เป็นบ้านเดี่ยว 15 เปอร์เซ็นต์เป็นทาวน์เฮ้าส์ 45 เปอร์เซ็นต์เป็นคอนโด
ระดับสูง รวม 30 เปอร์เซ็นต์ กลาง 35 เปอร์เซ็นต์ ต่ำ 35 เปอร์เซ็นต์
(จะลดสัดส่วนลงทุนในต่างจังหวัด จาก 40 เป็น 20 เปอร์เซ็นต์)
ไม่เน้นเพิ่มยอดขายให้ก้าวกระโดด แต่ความสามารถทำกำไรเพิ่ม คือรับรู้รายได้ส่วนที่ขายไปเดิม
รวมผู้มีความชำนาญด้านต่างๆ(ก่อสร้าง ออกแบบ จัดซื้อ)ร่วมมือกัน เพื่อลด defect
ลดการใช้วัสดุก่อสร้าง
เพิ่มกำลัง precast
ส่วนกำไรอาจจะไม่สามารถเพิ่มได้มาก เพิ่ม 0.5-1 เปอร์เซ็นต์ใน 3 ปี
ที่ผ่านมามีการลงทุนเรื่องแบรนด์สูง
อ้างว่าจากการสำรวจเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงที่สุดในตลาดอสังหา
(มีคนอ้างประมาณว่าแข็งแรงจริงรึเปล่าเนื่องจากเคยมีปัญหา บ้านร้าว แจ้งซ่อมแล้วไม่มีการติดต่อมา แน่ใจว่าพนักงานดีสมควรได้รับสิทธิ์ (อย่าง esop)? แล้วก็มีข่าวเรื่องยัดโฟม ในคอนโด อะไรอย่างนี้ )
ต่อไปจะไม่ไปลงทุนกับเรื่องแบรนด์เยอะ
ปรับกลยุทธ์ส่วน media ให้มีประสิทธิภาพ
คุมค่าใช้จ่ายการบริหารให้น้อยที่สุด
สร้างมาตรฐาน มีการวัดผล ประเมินพนักงาน
ให้พนักงานทำงาน multitask
ส่วนการเพิ่มทุน
ต้องการทุนเพิ่มเพื่อขยับส่วนรายได้ (จะนำไปใช้หนี้ด้วย ช่วงนี้อาจชะลอลงทุนใหม่ แต่ถ้าจะลงทุนขยายก็จะมีการกู้เพิ่ม)
มีการเปรียบเทียบกราฟพวกรายได้ กำไร ทุนกันระหว่าง 3 รายแสดงให้ดู
สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนสำหรับผู้ถือหุ้นเดิมให้ 3 หุ้นต่อ 1 หุ้นใหม่
ราคาใช้สิทธิ์ 1.3 บาท แถม warrant 1หน่วยต่อ 1 หุ้นใหม่
ซึ่งส่วนที่จะแถมนี้เขาก็ใช้คำว่า ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ SIRI w2 ซึ่งจะมีราคาใช้สิทธิ์ที่ 2.5 บาท
ถ้ามี warrantแถมอันนี้ จะเริ่มใช้สิทธิ์ได้อีกปีถัดไป (ธ.ค. 2558)
(ซึ่งก็มีคนท้วงว่าจะมีราคาใช้สิทธิ์ที่ 2.5 บาท วอร์แรนต์ที่เขาออกก็จะยังไม่มีค่าในตลาดเมื่อเข้าเทรด
แบบว่าถ้าราคาปัจจุบันสองบาท วอร์แรนต์มีราคาใช้สิทธิ์ 1.5 บาท เมื่อเข้ามาในตลาดให้ซื้อขายได้ก็จะมีราคา ส่วนต่างกับราคาปัจจุบันได้ 0.5 บาท)
เท่าที่เข้าใจในเรื่องการเพิ่มทุนอันนี้ก็คือ จะได้หุ้นมาเพิ่มในพอร์ทเราก็ต้องไปจองซื้อก่อนตามสิทธิ์ที่จองซื้อได้
อย่างถ้าเดิมมี 100 หุ้น จะมีสิทธิ์จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ คือ 100/3 เท่ากับประมาณสามสิบสามหุ้น จ่ายเงินเท่ากับ 1.3*33 หุ้น เท่ากับ 42.9 บาท
(อันนี้จะจองเกินสิทธิ์ก็ได้)
(เรื่องการจ่ายเงินนี่ก็มีคนท้วงว่าจะจ่ายแบบโอนเงินเหมือนที่อื่นได้มั้ย เป็นเช็คมันยุ่งยาก มีค่าธรรมเนียม แล้วก็เผื่อหาย)
พอไปจองซื้อหุ้นมาแล้วเราก็จะได้ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ siri w2 แถมมา ซึ่งใบอันนี้ก็จะให้สิทธิ์เราจองซื้อหุ้นได้เพิ่มตามจำนวนที่ได้รับสิทธิ์ ในราคาหุ้นละ 2.5 บาท อายุ 3 ปี อีกประมาณปีกว่า เริ่มเอาไปจองซื้อได้(เริ่มตั้งแต่ปลาย ธ.ค. ปี 58- ธ.ค. ปี 60)
คือได้มาอีก 33 หน่วยวอร์แรนต์ นำไปแปลงซื้อหุ้นเพิ่ม 33 หุ้น หุ้นละ 2.5 บาท เป็นเงิน 82.5 บาท
รายละเอียดเอกสารที่ส่งตอนเชิญประชุมหาได้ในเวบไซต์
http://www.sansiri.com/th/investor/meeting.aspx
มีการออกสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุนนี่ให้กับพนักงานด้วย แต่ของพนักงานจะเรียก ESOP ระบุระยะเวลา ห้าปี จะสามารถใช้สิทธิ์ได้ปีละ 20 เปอร์เซนต์ เท่านั้น ถ้าปีแรกไม่ได้ใช้สิทธิ ปีต่อไปก็สามารถใช้สิทธิ์รวมส่วนของปีแรกได้ เห็นเขาบอกว่าต้องการเหมือนเป็นการจูงใจให้พนักงานอยู่ต่อนานๆ
ตอนแรกก็เข้าใจว่าเขาจะแบ่งให้พนักงานในระดับธรรมดาด้วย
เขาก็ชี้แจงว่าให้อย่างระดับกรรมการบริษัทลูก ไปจนถึงระดับผู้ช่วยผู้จัดการ
อย่างตัวผู้บริหารที่มานั่งที่ประชุมจะไม่ใช่ระดับที่ได้
(ให้ในระดับสูงเพราะคาดว่าจะได้ในเรื่องการจูงใจมากกว่า)
เรื่องคำถามตอบต่างๆก็เห็นมีคนรวบรวมไว้ในพันทิปเหมือนกัน
แต่เราก็มีจดไว้บ้าง เอาที่จำๆได้บ้างมารวบรวมไว้ด้วย
คำถาม คำแนะนำ ความเห็นส่วนตัว
มีคนให้คำเตือนกับคนที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน ให้คิดดีๆ (เห็นว่าคนพูดรู้จักกับผู้บริหารมานาน)
หลายๆที่จะทำแบบเดียวกันคืออยากให้คนมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนเลยมีการแจกวอร์แรนต์แถมไปด้วย
แต่ราคาใช้สิทธิ์ที่กำหนดเป็น 2.5 บาทนั้น ถ้าเทียบกับราคาปัจจุบันที่ 2.04 บาท วอร์แรนต์จะยังไม่มีค่า
ถึงเวลาที่จะใช้สิทธิ์ได้จริงในอีกปีสองปี ก็ไม่รู้ว่าราคาหุ้นจะอยู่ที่เท่าไหร่ warrant ที่ได้มาจะนำไปใช้สิทธิ์ได้คุ้มหรือไม่
เขาก็ถามในเรื่องการปรับสิทธิ์ว่าจะสามารถปรับราคาใช้สิทธิ์ได้ไหม (แบบตามสถานการณ์)
ผู้บริหาร(ประธาน) รีบตอบประมาณว่าที่ประชุมอนุมัติแล้วไม่สามารถเปลี่ยนได้
ก็มีการโวยเหมือนกัน
คนโวยเขาก็เสนอว่าถ้ามีสถานการณ์ก็ให้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นและอนุมัติได้
(จริงๆอ่านในใบเอกสารที่เขาให้ก็เขียนทำนองว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนราคาใช้สิทธิ์ได้ภายหลัง)
เขาก็พูดบอกผู้บริหารอย่าขายหุ้นด้วย ให้อยู่ด้วยกันไปก่อน
เรื่องการขายหุ้นผู้บริหารก็เห็นเป็นประเด็นพูดกันมานาน วันนี้ได้มาฟังผู้บริหารพูดเอง
ประเด็นนี้แหละที่ทำให้คนไม่เข้ามาซื้อหุ้นกัน เจอผู้บริหารขายไปก็เงิบกันหมด
เรื่องนี้ที่ทางผู้บริหารที่เป็นข่าวเรื่องขายหุ้น คุณ เศรษฐา ทวีสินชี้แจง
ว่าเขาเคยมีหุ้นมาก แล้วตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจก็โดนบังคับขาย เห็นเขาว่าเป็นการแปลงหนี้สินเป็นทุน
แล้วหลังจากนั้นเลยมีการซื้อหุ้นกลับมา ยี่สิบเปอร์เซนต์ เพื่ออำนาจในการบริหาร
แล้วมีการขายออกไปเพื่อใช้หนี้
(ที่กู้มาซื้อหุ้น?)
ถ้าต่อไปพร้อมก็จะซื้อกลับมาอีก หรือถ้าผู้บริหารอีกสองท่านจะซื้อก็ยินดี
เรื่องเพิ่มทุนว่าจะเอาเงินไปทำอะไรก็มีคนถามขึ้นมาให้บอกให้ชัดเจน
ผู้บริหารก็ตอบประมาณว่ามีหลายส่วนเลยระบุชัดเจนไม่ได้ว่าเงินก้อนนั้นจะถูกใช้ในส่วนไหน
แบบว่ามีไปชำระหนี้ด้วย แล้วต่อไปก็เผื่อสำหรับการลงทุนเพิ่มในอนาคต
ดูจากยอดขายที่รอโอน (รอที่จะบันทึกการรับรู้รายได้) ก็มีอยู่มากเหมือนกัน เหมือนผู้บริหารบอกว่าผลประกอบการดี แต่ก็มีจุดนึงที่คิดว่าจะมีผลกระทบ คือกรณีคนจองไปแล้วไม่สามารถโอนได้ (พวกที่กู้ไม่ผ่าน หรือเอาใบจองมาคืน) จากข้อมูลที่เขาให้ เห็นว่า ครึ่งปีหลังมีรอรับรู้รายได้ 1 หมื่นสี่พันล้าน ปีหน้าอีก 2 หมื่น3พันล้าน
เห็นว่ามีสินค้าคงเหลือ ประมาณแปดพันล้านซึ่งจะใช้เวลาขายออก 3-4 เดือน ถ้าดูจากยอดขายเฉลี่ย
(ปกติ คงเหลือ สามสี่พันล้าน ระยะเวลาระบาย/ขายออก 1 เดือน)
ในส่วนที่คงเหลือนี่เป็นแนวราบกับคอนโด สัดส่วน คอนโด สี่พันล้าน แนวราบ สี่พันล้าน
กทม.ห้าพันล้าน ต่างจังหวัด สามพันล้าน
ไม่มีนโยบายลดราคาเพื่อปล่อย เป็นการกัน margin ไว้
(มีคนท้วงประมาณว่า เอาไว้อย่างนี้จะเป็นการเพิ่มภาระหนี้แทนรึเปล่า)
(มีคำถามว่าจะมีวิธีการยังไงถ้า 8 พันล้านนี่ขายไม่ออก)
จุดนี้มีแต่คนยิงคำถามจนเขาเริ่มบอกจะปิดประชุมก่อน เห็นผู้ถือหุ้นกลับๆกันแล้ว
แล้วจะให้เจ้าหน้าที่มาตอบสำหรับคำถามที่ท่านถาม
สำหรับส่วนที่เกิดจากการนำไปจองมาคืน หรือไม่สามารถโอนได้ จึงนำมาคำนวณเป็นรายได้ไม่ได้
เขาก็บอกว่ามีเพิ่มขึ้น
มีคนเตือนว่าลงทุนต่างจังหวัดไม่ง่ายเหมือนในกทม. ที่ปรับนโยบายสัดส่วนต่างจังหวัดลงเพราะเจอปัญหารึเปล่า
เขาก็บอกว่าที่ปรับสัดส่วนลงก็เพราะได้ขยายงานต่างจังหวัดไปมากในช่วงก่อนแล้ว
และจะปรับให้เหมาะกับการเติบโตของกทม.
ผู้บริหารบอกประมาณว่ายังไม่ชัดเจนเรื่องการลงทุนต่างจังหวัดว่าจะลงจังหวัดไหน เพราะไม่ได้มีการซื้อที่เอาไว้ก่อน อาจจะซื้อไม่กี่เดือนล่วงหน้าที่จะทำ ก็เลยยังไม่สามารถระบุได้ อาจจะแล้วแต่สภาพการณ์
มีการถามเรื่องเพิ่มทุน 4 พันล้าน จะนำไปใช้ลดหนี้เท่าไหร่ สถานการณ์จะดีขึ้นหรือ มีการเสริมสภาพคล่องอย่างไร สัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดเหลือเท่าไหร่
ตรงนี้ดูเหมือนเขาก็ยังไม่ได้เตรียมมาตอบ เริ่มจะโยนให้เจ้าหน้าที่ตอบ
ตอนปิดประชุมผู้บริหารก็เดินออกแยกย้าย มีการรวมกลุ่มของผู้ถือหุ้นรวมความเห็นกัน
ทางคนที่พูดเรื่องผู้บริหารขายหุ้นก็เรียกคุณเศรษฐา ย้ำเรื่องให้อยู่ด้วยกันก่อนอย่าขายหุ้น ก่อนที่เขาจะเดินออกไป
อย่างทางประธานก็เห็นมีการมาคุยกับกลุ่มย่อย
มีคนสงสัยเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านแบรนด์ อย่างเห็นแสนสิริในพารากอน ก่อนจะแยกย้ายกัน
(เขียนล่าสุด 13 กันยายน 2557 ค่ำๆ)
10 ตุลาคม 2557
วันนี้เจอว่ามีประกาศรายงานการประชุมที่เป็นทางการ ออกมาตั้งแต่ 26 กันยายน 2557
ตามลิงค์นี้
http://www.sansiri.com/th/investor/minute.aspx
27-31 ตุลาคมนี้เป็นวันจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ตอนนี้ยังไม่ได้เอกสารเรื่องการจองซื้อ
พบผู้สูงวัยจำนวนพอสมควรที่ถือหุ้นนี้แล้วบอกว่าขาดทุนอยู่
และมีคนเข้ามาพูดคุยกันหลายกลุ่ม แบ่งปันประสบการณ์บรรยากาศดูเป็นกันเองดีถึงแม้ดูเหมือนจะขาดทุนกันอยู่ และก็มีการเตือนกันในเรื่องการลงทุน
อันนี้ก็ดูเป็นเรื่องที่ดีที่ได้มารวมกลุ่มพบปะกัน
คาดว่ากลุ่มต่างๆที่รวมตัวกันอาจจะเคยพบกันมาหลายรอบตามการประชุมแต่ละครั้ง
รู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการคาดหวังให้กิจการกลับมาดี เกลี้ยกล่อมผู้บริหารอย่าขายหุ้น (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาจะขายหุ้นมาใช้หนี้จากการกู้ยืม (มาซื้อหุ้น?)อีกเมื่อไหร่)
มีคนให้ความเห็นแสดงความเป็นห่วงในกิจการ ผู้ถือหุ้นต่างอยากถามผู้บริหารในหลายๆด้านมากมาย
ทั้งในเรื่องการขายหุ้นของผู้บริหารที่เคยเกิดขึ้น
การนำเงินเพิ่มทุนไปลงทุนอะไร ไปใช้หนี้ อยากให้ระบุให้ชัด
สินค้าคงเหลือที่มีอยู่มีอะไรสัดส่วนเท่าไหร่ ระยะเวลาที่จะขายออกไป
ทิศทางการขยายกิจการต่อไป (ลดสัดส่วนต่างจังหวัด)
เพิ่มทุน แจกวอร์แรนต์ไป ราคาใช้สิทธิ 2.5 บาท วอร์แรนต์จะมีค่าหรือไม่
ค่าใช้จ่ายในการโปรโหมตแบรนด์ จะมีแนวโน้มกลับมาเพิ่มในอนาคต?
เรื่องการให้สิทธิหุ้นกับพนักงาน (ESOP) ให้โบนัสจะจูงใจพนักงานมากกว่ามั้ย
หลายๆอย่างผู้บริหารก็ไม่ได้ตอบในทันที คือเหมือนให้คนถัดไปพูดเลย
บางอย่างก็ยังไม่มีข้อมูล ต้องให้เจ้าหน้าที่ตอบ และท้ายๆก็เริ่มพูดติดๆขัดๆแล้ว
แบบอยากปิดประชุมแต่คนถามยังอยากถามต่อ
เลยมีหลายคำถามที่เหมือนยังไม่ชัดเจน
รายละเอียดที่รวบรวมมาได้
เรื่องนโยบาย
ต่อไปการวางแผนการเติบโตของเขาก็ไม่ได้จะขยายให้เติบโตมากเหมือนปีก่อนๆ
เนื่องจากมองภาพรวมเศรษฐกิจด้วย
ขยาย 7-15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
จะทำให้หนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1 เท่าในปี 2560
มี backlog ซึ่งจะรับรู้ในอีก 4 ปี
ครึ่งปีหลัง1หมื่น 4 พันล้าน ปีหน้า 23,600 ล้าน
มีการสร้างฐานให้โตมาก่อนหน้า ดังนั้นช่วงปีต่อๆไปอาจไม่ต้องพึ่งให้ยอดขายเข้ามามาก
ใน2ปีที่ผ่านมามีการขยายไปต่างจังหวัดมาก 40 เปอร์เซ็นต์ ใน 13 จังหวัด
40 เปอร์เซ็นต์เป็นบ้านเดี่ยว 15 เปอร์เซ็นต์เป็นทาวน์เฮ้าส์ 45 เปอร์เซ็นต์เป็นคอนโด
ระดับสูง รวม 30 เปอร์เซ็นต์ กลาง 35 เปอร์เซ็นต์ ต่ำ 35 เปอร์เซ็นต์
(จะลดสัดส่วนลงทุนในต่างจังหวัด จาก 40 เป็น 20 เปอร์เซ็นต์)
ไม่เน้นเพิ่มยอดขายให้ก้าวกระโดด แต่ความสามารถทำกำไรเพิ่ม คือรับรู้รายได้ส่วนที่ขายไปเดิม
รวมผู้มีความชำนาญด้านต่างๆ(ก่อสร้าง ออกแบบ จัดซื้อ)ร่วมมือกัน เพื่อลด defect
ลดการใช้วัสดุก่อสร้าง
เพิ่มกำลัง precast
ส่วนกำไรอาจจะไม่สามารถเพิ่มได้มาก เพิ่ม 0.5-1 เปอร์เซ็นต์ใน 3 ปี
ที่ผ่านมามีการลงทุนเรื่องแบรนด์สูง
อ้างว่าจากการสำรวจเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงที่สุดในตลาดอสังหา
(มีคนอ้างประมาณว่าแข็งแรงจริงรึเปล่าเนื่องจากเคยมีปัญหา บ้านร้าว แจ้งซ่อมแล้วไม่มีการติดต่อมา แน่ใจว่าพนักงานดีสมควรได้รับสิทธิ์ (อย่าง esop)? แล้วก็มีข่าวเรื่องยัดโฟม ในคอนโด อะไรอย่างนี้ )
ต่อไปจะไม่ไปลงทุนกับเรื่องแบรนด์เยอะ
ปรับกลยุทธ์ส่วน media ให้มีประสิทธิภาพ
คุมค่าใช้จ่ายการบริหารให้น้อยที่สุด
สร้างมาตรฐาน มีการวัดผล ประเมินพนักงาน
ให้พนักงานทำงาน multitask
ส่วนการเพิ่มทุน
ต้องการทุนเพิ่มเพื่อขยับส่วนรายได้ (จะนำไปใช้หนี้ด้วย ช่วงนี้อาจชะลอลงทุนใหม่ แต่ถ้าจะลงทุนขยายก็จะมีการกู้เพิ่ม)
มีการเปรียบเทียบกราฟพวกรายได้ กำไร ทุนกันระหว่าง 3 รายแสดงให้ดู
สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนสำหรับผู้ถือหุ้นเดิมให้ 3 หุ้นต่อ 1 หุ้นใหม่
ราคาใช้สิทธิ์ 1.3 บาท แถม warrant 1หน่วยต่อ 1 หุ้นใหม่
ซึ่งส่วนที่จะแถมนี้เขาก็ใช้คำว่า ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ SIRI w2 ซึ่งจะมีราคาใช้สิทธิ์ที่ 2.5 บาท
ถ้ามี warrantแถมอันนี้ จะเริ่มใช้สิทธิ์ได้อีกปีถัดไป (ธ.ค. 2558)
(ซึ่งก็มีคนท้วงว่าจะมีราคาใช้สิทธิ์ที่ 2.5 บาท วอร์แรนต์ที่เขาออกก็จะยังไม่มีค่าในตลาดเมื่อเข้าเทรด
แบบว่าถ้าราคาปัจจุบันสองบาท วอร์แรนต์มีราคาใช้สิทธิ์ 1.5 บาท เมื่อเข้ามาในตลาดให้ซื้อขายได้ก็จะมีราคา ส่วนต่างกับราคาปัจจุบันได้ 0.5 บาท)
เท่าที่เข้าใจในเรื่องการเพิ่มทุนอันนี้ก็คือ จะได้หุ้นมาเพิ่มในพอร์ทเราก็ต้องไปจองซื้อก่อนตามสิทธิ์ที่จองซื้อได้
อย่างถ้าเดิมมี 100 หุ้น จะมีสิทธิ์จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ คือ 100/3 เท่ากับประมาณสามสิบสามหุ้น จ่ายเงินเท่ากับ 1.3*33 หุ้น เท่ากับ 42.9 บาท
(อันนี้จะจองเกินสิทธิ์ก็ได้)
(เรื่องการจ่ายเงินนี่ก็มีคนท้วงว่าจะจ่ายแบบโอนเงินเหมือนที่อื่นได้มั้ย เป็นเช็คมันยุ่งยาก มีค่าธรรมเนียม แล้วก็เผื่อหาย)
พอไปจองซื้อหุ้นมาแล้วเราก็จะได้ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ siri w2 แถมมา ซึ่งใบอันนี้ก็จะให้สิทธิ์เราจองซื้อหุ้นได้เพิ่มตามจำนวนที่ได้รับสิทธิ์ ในราคาหุ้นละ 2.5 บาท อายุ 3 ปี อีกประมาณปีกว่า เริ่มเอาไปจองซื้อได้(เริ่มตั้งแต่ปลาย ธ.ค. ปี 58- ธ.ค. ปี 60)
คือได้มาอีก 33 หน่วยวอร์แรนต์ นำไปแปลงซื้อหุ้นเพิ่ม 33 หุ้น หุ้นละ 2.5 บาท เป็นเงิน 82.5 บาท
รายละเอียดเอกสารที่ส่งตอนเชิญประชุมหาได้ในเวบไซต์
http://www.sansiri.com/th/investor/meeting.aspx
มีการออกสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุนนี่ให้กับพนักงานด้วย แต่ของพนักงานจะเรียก ESOP ระบุระยะเวลา ห้าปี จะสามารถใช้สิทธิ์ได้ปีละ 20 เปอร์เซนต์ เท่านั้น ถ้าปีแรกไม่ได้ใช้สิทธิ ปีต่อไปก็สามารถใช้สิทธิ์รวมส่วนของปีแรกได้ เห็นเขาบอกว่าต้องการเหมือนเป็นการจูงใจให้พนักงานอยู่ต่อนานๆ
ตอนแรกก็เข้าใจว่าเขาจะแบ่งให้พนักงานในระดับธรรมดาด้วย
เขาก็ชี้แจงว่าให้อย่างระดับกรรมการบริษัทลูก ไปจนถึงระดับผู้ช่วยผู้จัดการ
อย่างตัวผู้บริหารที่มานั่งที่ประชุมจะไม่ใช่ระดับที่ได้
(ให้ในระดับสูงเพราะคาดว่าจะได้ในเรื่องการจูงใจมากกว่า)
เรื่องคำถามตอบต่างๆก็เห็นมีคนรวบรวมไว้ในพันทิปเหมือนกัน
แต่เราก็มีจดไว้บ้าง เอาที่จำๆได้บ้างมารวบรวมไว้ด้วย
คำถาม คำแนะนำ ความเห็นส่วนตัว
มีคนให้คำเตือนกับคนที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน ให้คิดดีๆ (เห็นว่าคนพูดรู้จักกับผู้บริหารมานาน)
หลายๆที่จะทำแบบเดียวกันคืออยากให้คนมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนเลยมีการแจกวอร์แรนต์แถมไปด้วย
แต่ราคาใช้สิทธิ์ที่กำหนดเป็น 2.5 บาทนั้น ถ้าเทียบกับราคาปัจจุบันที่ 2.04 บาท วอร์แรนต์จะยังไม่มีค่า
ถึงเวลาที่จะใช้สิทธิ์ได้จริงในอีกปีสองปี ก็ไม่รู้ว่าราคาหุ้นจะอยู่ที่เท่าไหร่ warrant ที่ได้มาจะนำไปใช้สิทธิ์ได้คุ้มหรือไม่
เขาก็ถามในเรื่องการปรับสิทธิ์ว่าจะสามารถปรับราคาใช้สิทธิ์ได้ไหม (แบบตามสถานการณ์)
ผู้บริหาร(ประธาน) รีบตอบประมาณว่าที่ประชุมอนุมัติแล้วไม่สามารถเปลี่ยนได้
ก็มีการโวยเหมือนกัน
คนโวยเขาก็เสนอว่าถ้ามีสถานการณ์ก็ให้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นและอนุมัติได้
(จริงๆอ่านในใบเอกสารที่เขาให้ก็เขียนทำนองว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนราคาใช้สิทธิ์ได้ภายหลัง)
เขาก็พูดบอกผู้บริหารอย่าขายหุ้นด้วย ให้อยู่ด้วยกันไปก่อน
เรื่องการขายหุ้นผู้บริหารก็เห็นเป็นประเด็นพูดกันมานาน วันนี้ได้มาฟังผู้บริหารพูดเอง
ประเด็นนี้แหละที่ทำให้คนไม่เข้ามาซื้อหุ้นกัน เจอผู้บริหารขายไปก็เงิบกันหมด
เรื่องนี้ที่ทางผู้บริหารที่เป็นข่าวเรื่องขายหุ้น คุณ เศรษฐา ทวีสินชี้แจง
ว่าเขาเคยมีหุ้นมาก แล้วตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจก็โดนบังคับขาย เห็นเขาว่าเป็นการแปลงหนี้สินเป็นทุน
แล้วหลังจากนั้นเลยมีการซื้อหุ้นกลับมา ยี่สิบเปอร์เซนต์ เพื่ออำนาจในการบริหาร
แล้วมีการขายออกไปเพื่อใช้หนี้
(ที่กู้มาซื้อหุ้น?)
ถ้าต่อไปพร้อมก็จะซื้อกลับมาอีก หรือถ้าผู้บริหารอีกสองท่านจะซื้อก็ยินดี
เรื่องเพิ่มทุนว่าจะเอาเงินไปทำอะไรก็มีคนถามขึ้นมาให้บอกให้ชัดเจน
ผู้บริหารก็ตอบประมาณว่ามีหลายส่วนเลยระบุชัดเจนไม่ได้ว่าเงินก้อนนั้นจะถูกใช้ในส่วนไหน
แบบว่ามีไปชำระหนี้ด้วย แล้วต่อไปก็เผื่อสำหรับการลงทุนเพิ่มในอนาคต
ดูจากยอดขายที่รอโอน (รอที่จะบันทึกการรับรู้รายได้) ก็มีอยู่มากเหมือนกัน เหมือนผู้บริหารบอกว่าผลประกอบการดี แต่ก็มีจุดนึงที่คิดว่าจะมีผลกระทบ คือกรณีคนจองไปแล้วไม่สามารถโอนได้ (พวกที่กู้ไม่ผ่าน หรือเอาใบจองมาคืน) จากข้อมูลที่เขาให้ เห็นว่า ครึ่งปีหลังมีรอรับรู้รายได้ 1 หมื่นสี่พันล้าน ปีหน้าอีก 2 หมื่น3พันล้าน
เห็นว่ามีสินค้าคงเหลือ ประมาณแปดพันล้านซึ่งจะใช้เวลาขายออก 3-4 เดือน ถ้าดูจากยอดขายเฉลี่ย
(ปกติ คงเหลือ สามสี่พันล้าน ระยะเวลาระบาย/ขายออก 1 เดือน)
ในส่วนที่คงเหลือนี่เป็นแนวราบกับคอนโด สัดส่วน คอนโด สี่พันล้าน แนวราบ สี่พันล้าน
กทม.ห้าพันล้าน ต่างจังหวัด สามพันล้าน
ไม่มีนโยบายลดราคาเพื่อปล่อย เป็นการกัน margin ไว้
(มีคนท้วงประมาณว่า เอาไว้อย่างนี้จะเป็นการเพิ่มภาระหนี้แทนรึเปล่า)
(มีคำถามว่าจะมีวิธีการยังไงถ้า 8 พันล้านนี่ขายไม่ออก)
จุดนี้มีแต่คนยิงคำถามจนเขาเริ่มบอกจะปิดประชุมก่อน เห็นผู้ถือหุ้นกลับๆกันแล้ว
แล้วจะให้เจ้าหน้าที่มาตอบสำหรับคำถามที่ท่านถาม
สำหรับส่วนที่เกิดจากการนำไปจองมาคืน หรือไม่สามารถโอนได้ จึงนำมาคำนวณเป็นรายได้ไม่ได้
เขาก็บอกว่ามีเพิ่มขึ้น
มีคนเตือนว่าลงทุนต่างจังหวัดไม่ง่ายเหมือนในกทม. ที่ปรับนโยบายสัดส่วนต่างจังหวัดลงเพราะเจอปัญหารึเปล่า
เขาก็บอกว่าที่ปรับสัดส่วนลงก็เพราะได้ขยายงานต่างจังหวัดไปมากในช่วงก่อนแล้ว
และจะปรับให้เหมาะกับการเติบโตของกทม.
ผู้บริหารบอกประมาณว่ายังไม่ชัดเจนเรื่องการลงทุนต่างจังหวัดว่าจะลงจังหวัดไหน เพราะไม่ได้มีการซื้อที่เอาไว้ก่อน อาจจะซื้อไม่กี่เดือนล่วงหน้าที่จะทำ ก็เลยยังไม่สามารถระบุได้ อาจจะแล้วแต่สภาพการณ์
มีการถามเรื่องเพิ่มทุน 4 พันล้าน จะนำไปใช้ลดหนี้เท่าไหร่ สถานการณ์จะดีขึ้นหรือ มีการเสริมสภาพคล่องอย่างไร สัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดเหลือเท่าไหร่
ตรงนี้ดูเหมือนเขาก็ยังไม่ได้เตรียมมาตอบ เริ่มจะโยนให้เจ้าหน้าที่ตอบ
ตอนปิดประชุมผู้บริหารก็เดินออกแยกย้าย มีการรวมกลุ่มของผู้ถือหุ้นรวมความเห็นกัน
ทางคนที่พูดเรื่องผู้บริหารขายหุ้นก็เรียกคุณเศรษฐา ย้ำเรื่องให้อยู่ด้วยกันก่อนอย่าขายหุ้น ก่อนที่เขาจะเดินออกไป
อย่างทางประธานก็เห็นมีการมาคุยกับกลุ่มย่อย
มีคนสงสัยเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านแบรนด์ อย่างเห็นแสนสิริในพารากอน ก่อนจะแยกย้ายกัน
(เขียนล่าสุด 13 กันยายน 2557 ค่ำๆ)
10 ตุลาคม 2557
วันนี้เจอว่ามีประกาศรายงานการประชุมที่เป็นทางการ ออกมาตั้งแต่ 26 กันยายน 2557
ตามลิงค์นี้
http://www.sansiri.com/th/investor/minute.aspx
27-31 ตุลาคมนี้เป็นวันจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ตอนนี้ยังไม่ได้เอกสารเรื่องการจองซื้อ
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557
งานสัมมนา เปิดตัวหนังสือ คิดแบบภาววิทย์ ที่ห้องสมุดมารวย ตลาดหลักทรัพย์
เมื่อวันก่อนไปงานเปิดตัวหนังสือของภาววิทย์มา (10 กันยายน 2557)
ด้วยความที่ไปห้องสมุดมารวยตรงตลาดหลักทรัพย์ประจำเลยเจอแผ่นโฆษณาให้จองที่นั่งสัมมนาเปิดตัวหนังสือ มีแบบโทรจองกับแบบในเวบ เลยไปสมัครเวบเพื่อจองสัมมนา เห็นให้ไปก่อนครึ่งชั่วโมงก็ยังสงสัยว่าจะมีคนไปก่อนเยอะมั้ย
แต่พอจริงๆไปถึง ก่อนครึ่งชั่วโมงก็ต้องตกใจที่คนนั่งกันเกือบเต็มแล้ว เว้นที่ไว้ไม่กี่ที่เท่านั้น
เลยไปนั่งด้านหน้าเลย
ถ้าไปช้าที่นั่งก็เต็ม นี่เป็นผลจากการโปรโหมตของเขาจริงๆ ขนาดบ่ายวันธรรมดายังขนาดนี้
วันก่อนที่เข้าไปฟังเรื่องอสังหาริมทรัพย์ก็ยังเห็นคนน้อย รับลูกค้าบัวหลวงแค่ 30 คน แป๊บเดียวเต็ม
วันนี้มากันเต็มเชียว
ไปเข้าฟังก็อยากจะดูว่าเขาจะพูดยังไงกับ theme ที่เปลี่ยนไป จากเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ที่เขาพูดเรื่อง asset มาเป็นเรื่องเปิดตัวหนังสือ คิดแบบภาววิทย์ ในหัวข้อ "รวยได้อย่างที่คิด คิดแบบภาววิทย์"
ปรากฏว่าฟังไปแล้วก็รู้สึกเหมือนสัมมนาอย่างเดิมซ้ำอีกรอบ เปลี่ยนคำพูดบางอย่างเล็กน้อย แต่เรื่องแนวๆเดิม (ไม่รู้ว่าจำได้มั๊ยว่ามีคนฟังไปแล้ว)
ให้ความรู้สึกว่า ถ้าฟังสัมมนาที่เขาไปพูดฟรีแล้วรอบนึง ก็ไม่ควรไปฟังสัมมนาแบบจัดฟรีอีกรอบนึงมั๊ย
เหมือนตอนอ่านหนังสือที่อ่านไปอ่านมาเรื่องประสบการณ์จะคล้ายๆซ้ำกับตอนเดิมในเล่มก่อน
คือประสบการณ์ของคนมันก็อาจจะมีจำกัด เล่าถึงเรื่องอะไรขึ้นมาบางทีก็จะไปอิงกับเหตุการณ์เดิมที่เคยรับรู้มาอะไรอย่างนี้
ฟังอีกรอบนึงอาจจะเริ่มเล่าแทนเขาได้ มั้งนะ
เวลาเขาพูดก็เป็นแบบที่คนทั่วๆไปจะเข้าใจได้ก็รู้สึกว่าดี สามารถเข้าถึงคนหมู่มากมีคนติดตามเยอะ และมีคนซื้อหนังสือต่อคิวรับลายเซ็นเพียบ ซึ่งเห็นเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่
หนังสือเล่มนี้ก็ดูเหมือนว่าอยากจะเขียนให้คนเข้าใจง่ายขึ้น เขียนเรื่องแนวคิด
เท่าที่เคยอ่านเล่มก่อนๆก็จะเป็นพวกวิเคราะห์มีทั้งข้อมูลเรื่องหุ้นเรื่องเศรษฐกิจอะไร คนที่เริ่มต้นอาจจะยังไม่เข้าใจ
แต่เล่มนี้ก็ยังได้แต่เปิดอ่านผ่านๆ ไว้ลองหาอ่านดูอีกที
คิดว่าอาจจะได้คนติดตามเพิ่มขึ้นจากการเข้าถึงคนหมู่มาก
ด้วยความที่ไปห้องสมุดมารวยตรงตลาดหลักทรัพย์ประจำเลยเจอแผ่นโฆษณาให้จองที่นั่งสัมมนาเปิดตัวหนังสือ มีแบบโทรจองกับแบบในเวบ เลยไปสมัครเวบเพื่อจองสัมมนา เห็นให้ไปก่อนครึ่งชั่วโมงก็ยังสงสัยว่าจะมีคนไปก่อนเยอะมั้ย
แต่พอจริงๆไปถึง ก่อนครึ่งชั่วโมงก็ต้องตกใจที่คนนั่งกันเกือบเต็มแล้ว เว้นที่ไว้ไม่กี่ที่เท่านั้น
เลยไปนั่งด้านหน้าเลย
ถ้าไปช้าที่นั่งก็เต็ม นี่เป็นผลจากการโปรโหมตของเขาจริงๆ ขนาดบ่ายวันธรรมดายังขนาดนี้
วันก่อนที่เข้าไปฟังเรื่องอสังหาริมทรัพย์ก็ยังเห็นคนน้อย รับลูกค้าบัวหลวงแค่ 30 คน แป๊บเดียวเต็ม
วันนี้มากันเต็มเชียว
ไปเข้าฟังก็อยากจะดูว่าเขาจะพูดยังไงกับ theme ที่เปลี่ยนไป จากเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ที่เขาพูดเรื่อง asset มาเป็นเรื่องเปิดตัวหนังสือ คิดแบบภาววิทย์ ในหัวข้อ "รวยได้อย่างที่คิด คิดแบบภาววิทย์"
ปรากฏว่าฟังไปแล้วก็รู้สึกเหมือนสัมมนาอย่างเดิมซ้ำอีกรอบ เปลี่ยนคำพูดบางอย่างเล็กน้อย แต่เรื่องแนวๆเดิม (ไม่รู้ว่าจำได้มั๊ยว่ามีคนฟังไปแล้ว)
ให้ความรู้สึกว่า ถ้าฟังสัมมนาที่เขาไปพูดฟรีแล้วรอบนึง ก็ไม่ควรไปฟังสัมมนาแบบจัดฟรีอีกรอบนึงมั๊ย
เหมือนตอนอ่านหนังสือที่อ่านไปอ่านมาเรื่องประสบการณ์จะคล้ายๆซ้ำกับตอนเดิมในเล่มก่อน
คือประสบการณ์ของคนมันก็อาจจะมีจำกัด เล่าถึงเรื่องอะไรขึ้นมาบางทีก็จะไปอิงกับเหตุการณ์เดิมที่เคยรับรู้มาอะไรอย่างนี้
ฟังอีกรอบนึงอาจจะเริ่มเล่าแทนเขาได้ มั้งนะ
เวลาเขาพูดก็เป็นแบบที่คนทั่วๆไปจะเข้าใจได้ก็รู้สึกว่าดี สามารถเข้าถึงคนหมู่มากมีคนติดตามเยอะ และมีคนซื้อหนังสือต่อคิวรับลายเซ็นเพียบ ซึ่งเห็นเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่
หนังสือเล่มนี้ก็ดูเหมือนว่าอยากจะเขียนให้คนเข้าใจง่ายขึ้น เขียนเรื่องแนวคิด
เท่าที่เคยอ่านเล่มก่อนๆก็จะเป็นพวกวิเคราะห์มีทั้งข้อมูลเรื่องหุ้นเรื่องเศรษฐกิจอะไร คนที่เริ่มต้นอาจจะยังไม่เข้าใจ
แต่เล่มนี้ก็ยังได้แต่เปิดอ่านผ่านๆ ไว้ลองหาอ่านดูอีกที
คิดว่าอาจจะได้คนติดตามเพิ่มขึ้นจากการเข้าถึงคนหมู่มาก
วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557
สัมมนา จัดสรรพอร์ตการลงทุนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กับ หลักทรัพย์บัวหลวง
สัมมนา จัดสรรพอร์ตการลงทุนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์นี้จัด 7 กันยายน 2557 พอดีกดเข้าไปในเวบบัวหลวงเห็นสัมมนาอันนี้ว่างอยู่ รับแค่ 30 ที่นั่งแถมต้องจองก่อนภายในไม่เกิน 2 วันล่วงหน้า รีบกดเข้าไปจอง เห็นว่ามี แพท ภาววิทย์ มาพูด อยากลองฟังดูว่าเขาสัมมนาเป็นอย่างไร หลังจากที่อ่านหนังสือเขาไปสองสามเล่มจากห้องสมุดมารวย แล้วเห็นว่าเขาศึกษาหลายด้าน และบางอย่างก็มองแนวโน้มไว้ตั้งแต่อดีต ซึ่งมาสอดคล้องกับปัจจุบัน
จริงๆวันนี้คิดว่าเขาจะมาพูดเรื่องกลุ่มอสังหาโดยตรง แต่คิดๆไปแล้วด้วยความที่จัดที่แสนสิริเลานจ์ เลยคงพูดถึงเจ้าอื่นๆไม่ได้ เป็นการพูดโดยรวมๆ
(ลึกๆก็แอบอยากให้วิเคราะห์แนวโน้มความก้าวหน้า โอกาสทำกำไรของอสังหาเจ้าต่างๆให้ฟังเหมือนกัน แบบว่าจะใกล้ฟองสบู่แตกรึอะไรจะดูยังไง)
มาฟังครั้งนี้แล้วก็รู้สึกว่าเขาสามารถพูดได้เหมาะกับการที่ให้คนทั่วไปฟัง เหมือนสไตล์ทอล์คโชว์
ถึงจะนำกราฟมาโชว์แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามือใหม่จะดูไม่เข้าใจเพราะไม่ได้ใช้ศัพท์อะไรมากมาย เป็นเรื่องที่คนทั่วๆไปจะเข้าใจได้
บางทีก็รู้สึกว่าเขาพรีเซนต์ตัวเองมาก แต่การพรีเซนต์ตัวเองแบบนี้ก็เป็นส่วนนึงที่คนจะรู้จักได้มากในยุคโซเชียลมีเดียแบบนี้ เห็นคนรอบๆข้างที่พรีเซนต์ตัวเองต่างก็โดดเด่น เด่นดังในสาขาที่ตัวเองมีประสบการณ์หรือเชี่ยวชาญ จนคนเชิญไปสอน ไปสัมมนา ซึ่งก็เป็นเรื่องดีกว่าเก็บเงียบไม่พรีเซนต์ตัวเอง
ดูแล้วเขาก็มีความมั่นใจในการพูดในการพรีเซนต์ และพูดได้คล่องเหมือนคุยไปเรื่อยๆแต่มีประเด็นที่เตรียมไว้แล้ว
วันนี้เขาก็พูดเรื่อง asset โดยโยงจากเรื่องใกล้ๆตัว ทำให้เข้าใจได้ง่ายแม้ไม่มีพื้นฐานอะไร
พูดถึงการลงทุนในที่ดิน ในหุ้น มีเรื่องวงจรขึ้นลงของราคา จังหวะในการซื้อ ขาย
มีสรุปเป็นคำให้เราจำง่ายด้วย
จริงๆวันนี้คิดว่าเขาจะมาพูดเรื่องกลุ่มอสังหาโดยตรง แต่คิดๆไปแล้วด้วยความที่จัดที่แสนสิริเลานจ์ เลยคงพูดถึงเจ้าอื่นๆไม่ได้ เป็นการพูดโดยรวมๆ
(ลึกๆก็แอบอยากให้วิเคราะห์แนวโน้มความก้าวหน้า โอกาสทำกำไรของอสังหาเจ้าต่างๆให้ฟังเหมือนกัน แบบว่าจะใกล้ฟองสบู่แตกรึอะไรจะดูยังไง)
มาฟังครั้งนี้แล้วก็รู้สึกว่าเขาสามารถพูดได้เหมาะกับการที่ให้คนทั่วไปฟัง เหมือนสไตล์ทอล์คโชว์
ถึงจะนำกราฟมาโชว์แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามือใหม่จะดูไม่เข้าใจเพราะไม่ได้ใช้ศัพท์อะไรมากมาย เป็นเรื่องที่คนทั่วๆไปจะเข้าใจได้
บางทีก็รู้สึกว่าเขาพรีเซนต์ตัวเองมาก แต่การพรีเซนต์ตัวเองแบบนี้ก็เป็นส่วนนึงที่คนจะรู้จักได้มากในยุคโซเชียลมีเดียแบบนี้ เห็นคนรอบๆข้างที่พรีเซนต์ตัวเองต่างก็โดดเด่น เด่นดังในสาขาที่ตัวเองมีประสบการณ์หรือเชี่ยวชาญ จนคนเชิญไปสอน ไปสัมมนา ซึ่งก็เป็นเรื่องดีกว่าเก็บเงียบไม่พรีเซนต์ตัวเอง
ดูแล้วเขาก็มีความมั่นใจในการพูดในการพรีเซนต์ และพูดได้คล่องเหมือนคุยไปเรื่อยๆแต่มีประเด็นที่เตรียมไว้แล้ว
วันนี้เขาก็พูดเรื่อง asset โดยโยงจากเรื่องใกล้ๆตัว ทำให้เข้าใจได้ง่ายแม้ไม่มีพื้นฐานอะไร
พูดถึงการลงทุนในที่ดิน ในหุ้น มีเรื่องวงจรขึ้นลงของราคา จังหวะในการซื้อ ขาย
มีสรุปเป็นคำให้เราจำง่ายด้วย
วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557
สัมมนา การลงทุนสไตล์สนุกกับนักวิเคราะห์คุยสนุก
ไปเจอประชาสัมพันธ์สัมมนาอันนี้แล้วเลยเข้าไปลงทะเบียนในเวบสนุกดอทคอม
วันนี้(6 กันยายน 57)เข้าไปฟังก็สายแล้ว เพราะไม่ตื่น เลยนั่งด้านนอกห้องประชุมศาสตราจารย์สังเวียน ชั้น 3 ตลาดหลักทรัพย์
จุดประสงค์ที่ไปก็เพราะจะได้เห็นน้องนานิเป็นพิธีกรร่วมกับคุณทีน่าซึ่งเป็นพิธีกรมืออาชีพอยู่แล้ว
ไม่เคยรู้ว่าเวบสนุกนี่มันมีเรื่องลงทุนเข้าไปประชาสัมพันธ์เหมือนกัน เหมือนจะจับกลุ่มคนส่วนใหญ่
แต่พอไปฟัง มันก็ค่อนข้างขั้นสูง มีการกล่าวถึงศัพท์ต่างๆในการดูงบการเงินหรือศัพท์ที่ใช้กันบ่อยในการเล่นหุ้น เลยคิดว่ามันก็ค่อนข้างขัดกับการดึงคนมาจากเวบสนุกอยู่เหมือนกัน
รู้สึกว่าโปรแกรมอย่างนี้อาจจะต้องเตี๊ยมกับผู้ร่วมรายการให้พูดขยายความศัพท์ต่างๆบ้าง
แต่เราก็พอจะฟังเข้าใจเลยไม่มีปัญหานัก
นานๆจะมานั่งด้านนอกสักที แต่คราวก่อนๆที่นั่งนอกห้องประชุมแบบนั่งดูทีวีที่ฉายจากห้องประชุมก็ไม่รู้สึกรำคาญเสียงคุยของเจ้าหน้าที่ขนาดนี้ ครั้งนี้แบบว่าเจ้าหน้าที่คุยกันเสียงดังเกิน ไม่รู้เป็นเพราะเป็นงานที่จัดร่วมกับเวบอย่างสนุก หรือแอพวีแชทรึเปล่าที่เขาจะไม่คุ้นกับบรรยากาศสัมมนาในตลาดหลักทรัพย์ที่คนจะตั้งอกตั้งใจฟังกันมาก คือเสียงจากทีวีมันก็ไม่ได้ดังมากและมีเสียงรบกวนจากเจ้าหน้าที่คุยกันเลยรู้สึกแบบเหมือนอยู่ห้องเรียนสมัยประถม-มัธยมที่อยากจดชื่อคนคุยส่งครู
อีกอย่างที่รู้สึกก็คือเวลาตั้งชื่อสัมมนา มันทำให้คนคาดหวังเรื่องความสนุก (เข้าใจว่าเป็นเพราะทำร่วมกับเวบสนุก)
อย่างเราก็แอบหวังว่าคงเป็นแบบย่อยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนมาคุยแบบง่ายๆเพลินๆ
แต่เข้าไปฟังจริงๆก็ไม่ค่อยเป็นในแนวแบบที่คิด
ถ้าจะจับกลุ่มคนทั่วไปให้เข้ามาสนใจการลงทุนในใจเราก็ยังชอบแบบวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจหรือการกระจายจัดพอร์ตการลงทุนแบบไม่เน้นหุ้นอย่างเดียวมากกว่าเอากราฟหุ้นขึ้นมาให้ดูหลายๆอัน
หรืออาจเป็นเพราะว่าเราเข้าไปฟังช่วงกลางๆ เขาอาจมีการเกริ่นนำไปมากแล้วก็ได้
จริงๆมันก็ดีเป็นการเตือนสำหรับคนที่ิคิดจะเข้าลงทุนหุ้น ณ ตอนนี้ แบบเอามาให้เห็นว่าอย่างตอนนี้มันสูงแล้วต้องระวัง อะไรอย่างนี้
วันนี้(6 กันยายน 57)เข้าไปฟังก็สายแล้ว เพราะไม่ตื่น เลยนั่งด้านนอกห้องประชุมศาสตราจารย์สังเวียน ชั้น 3 ตลาดหลักทรัพย์
จุดประสงค์ที่ไปก็เพราะจะได้เห็นน้องนานิเป็นพิธีกรร่วมกับคุณทีน่าซึ่งเป็นพิธีกรมืออาชีพอยู่แล้ว
ไม่เคยรู้ว่าเวบสนุกนี่มันมีเรื่องลงทุนเข้าไปประชาสัมพันธ์เหมือนกัน เหมือนจะจับกลุ่มคนส่วนใหญ่
แต่พอไปฟัง มันก็ค่อนข้างขั้นสูง มีการกล่าวถึงศัพท์ต่างๆในการดูงบการเงินหรือศัพท์ที่ใช้กันบ่อยในการเล่นหุ้น เลยคิดว่ามันก็ค่อนข้างขัดกับการดึงคนมาจากเวบสนุกอยู่เหมือนกัน
รู้สึกว่าโปรแกรมอย่างนี้อาจจะต้องเตี๊ยมกับผู้ร่วมรายการให้พูดขยายความศัพท์ต่างๆบ้าง
แต่เราก็พอจะฟังเข้าใจเลยไม่มีปัญหานัก
นานๆจะมานั่งด้านนอกสักที แต่คราวก่อนๆที่นั่งนอกห้องประชุมแบบนั่งดูทีวีที่ฉายจากห้องประชุมก็ไม่รู้สึกรำคาญเสียงคุยของเจ้าหน้าที่ขนาดนี้ ครั้งนี้แบบว่าเจ้าหน้าที่คุยกันเสียงดังเกิน ไม่รู้เป็นเพราะเป็นงานที่จัดร่วมกับเวบอย่างสนุก หรือแอพวีแชทรึเปล่าที่เขาจะไม่คุ้นกับบรรยากาศสัมมนาในตลาดหลักทรัพย์ที่คนจะตั้งอกตั้งใจฟังกันมาก คือเสียงจากทีวีมันก็ไม่ได้ดังมากและมีเสียงรบกวนจากเจ้าหน้าที่คุยกันเลยรู้สึกแบบเหมือนอยู่ห้องเรียนสมัยประถม-มัธยมที่อยากจดชื่อคนคุยส่งครู
อีกอย่างที่รู้สึกก็คือเวลาตั้งชื่อสัมมนา มันทำให้คนคาดหวังเรื่องความสนุก (เข้าใจว่าเป็นเพราะทำร่วมกับเวบสนุก)
อย่างเราก็แอบหวังว่าคงเป็นแบบย่อยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนมาคุยแบบง่ายๆเพลินๆ
แต่เข้าไปฟังจริงๆก็ไม่ค่อยเป็นในแนวแบบที่คิด
ถ้าจะจับกลุ่มคนทั่วไปให้เข้ามาสนใจการลงทุนในใจเราก็ยังชอบแบบวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจหรือการกระจายจัดพอร์ตการลงทุนแบบไม่เน้นหุ้นอย่างเดียวมากกว่าเอากราฟหุ้นขึ้นมาให้ดูหลายๆอัน
หรืออาจเป็นเพราะว่าเราเข้าไปฟังช่วงกลางๆ เขาอาจมีการเกริ่นนำไปมากแล้วก็ได้
จริงๆมันก็ดีเป็นการเตือนสำหรับคนที่ิคิดจะเข้าลงทุนหุ้น ณ ตอนนี้ แบบเอามาให้เห็นว่าอย่างตอนนี้มันสูงแล้วต้องระวัง อะไรอย่างนี้
สัมมนา Quantitative Strategy ของหลักทรัพย์บัวหลวง
ช่วงนี้เริ่มเข้าฟังสัมมนาที่เป็นระดับสูงขึ้นกว่าเดิม คือคิดว่าฟังสัมมนาต่างๆมาระดับนึงก็น่าจะพอเข้าใจระดับสูงขึ้นได้บ้าง เมื่อวันพฤหัส ที่ 4 ก.ย. เลยไปฟังเรื่อง Quantitative Strategy ของหลักทรัพย์บัวหลวง
ลงทะเบียนไปฟังโดยที่ไม่รู้หรอกว่าเขาจะพูดเกี่ยวกับอะไร และไอ้ Quantitative Strategy นี่คืออะไร
แต่เป็นคอร์สที่ว่างในขณะที่พวกสัมมนาวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานนี่คนลงเต็มไปแล้ว
ไปฟังมาก็รู้สึกว่า เออ ใช้บริการมานาน ไม่เคยไปอ่านรีเสิร์ซของเขาอย่างเต็มรูปแบบเลยสักที
ถ้าศึกษาเพิ่มสักหน่อยก็อาจจะได้ประโยชน์มาวิเคราะห์ปรับการลงทุนของเราได้เหมือนกัน
ลงทุนมาอย่างมั่วๆเองกะราคาเองมาหลายปี ไม่เคยดูวิเคราะห์พื้นฐานอะไรอย่างจริงจัง มาช่วงนี้ได้เข้าฟังนู่นนี่ก็เริ่มรู้สึกว่า นี่เราไม่ได้สนใจพื้นฐานจริงๆจังๆเลย มัวแต่ดูว่าหุ้นจะขึ้นไม่ขึ้นอยู่
เขาก็มีการวิเคราะห์จัดกลุ่มหลักทรัพย์ตามปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคและมีตัวอย่างการจัดพอร์ดให้ดู
มีการจัดว่าช่วงนี้กลุ่มไหนดีทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค มีการเรียงลำดับมา
แต่ทำ ทุกสองอาทิตย์ บางทีก็อาจจะใช้แนวทางเอามาปรับกับการลงทุนของเราได้
แต่ก็ต้องติดตามข่าวร่วมด้วยและหัดวิเคราะห์จัดลำดับเองก็อาจจะได้ทันสมัยกว่า
อย่างปัจจัยพื้นฐานเขาก็ดูหลายๆอย่างประกอบกัน อย่าง P/E EPS Dividend ROE อย่างเรื่องเทคนิคก็ดูพวกแนวโน้ม กระแสเงินเข้า
เวลาจะดูบทวิเคราะห์ เพิ่งเข้าไปดูเห็นว่ามันเลือกได้ว่าเอาบทวิเคราะห์ประจำเดือนหรือประเภทอื่น (ปกติดูแต่ประจำวัน)
ในเมนู บทวิเคราะห์&ข่าว แล้วเลือกเมนูย่อย บัวหลวงวิเคราะห์ข่าว มีให้เลือกเป็น drop down menu ว่าจะเป็น category ไหน
อันนี้ก็เป็นสัมมนาเฉพาะลูกค้าที่เหมือนอธิบายรีเสิร์ซให้อ่านเข้าใจ
เพิ่มภาพหน้าจอเมนูในเวบหลักทรัพย์บัวหลวง
กดในเมนูหลัก
เข้ามาหน้านี้เลือกตรง category
ลงทะเบียนไปฟังโดยที่ไม่รู้หรอกว่าเขาจะพูดเกี่ยวกับอะไร และไอ้ Quantitative Strategy นี่คืออะไร
แต่เป็นคอร์สที่ว่างในขณะที่พวกสัมมนาวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานนี่คนลงเต็มไปแล้ว
ไปฟังมาก็รู้สึกว่า เออ ใช้บริการมานาน ไม่เคยไปอ่านรีเสิร์ซของเขาอย่างเต็มรูปแบบเลยสักที
ถ้าศึกษาเพิ่มสักหน่อยก็อาจจะได้ประโยชน์มาวิเคราะห์ปรับการลงทุนของเราได้เหมือนกัน
ลงทุนมาอย่างมั่วๆเองกะราคาเองมาหลายปี ไม่เคยดูวิเคราะห์พื้นฐานอะไรอย่างจริงจัง มาช่วงนี้ได้เข้าฟังนู่นนี่ก็เริ่มรู้สึกว่า นี่เราไม่ได้สนใจพื้นฐานจริงๆจังๆเลย มัวแต่ดูว่าหุ้นจะขึ้นไม่ขึ้นอยู่
เขาก็มีการวิเคราะห์จัดกลุ่มหลักทรัพย์ตามปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคและมีตัวอย่างการจัดพอร์ดให้ดู
มีการจัดว่าช่วงนี้กลุ่มไหนดีทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค มีการเรียงลำดับมา
แต่ทำ ทุกสองอาทิตย์ บางทีก็อาจจะใช้แนวทางเอามาปรับกับการลงทุนของเราได้
แต่ก็ต้องติดตามข่าวร่วมด้วยและหัดวิเคราะห์จัดลำดับเองก็อาจจะได้ทันสมัยกว่า
อย่างปัจจัยพื้นฐานเขาก็ดูหลายๆอย่างประกอบกัน อย่าง P/E EPS Dividend ROE อย่างเรื่องเทคนิคก็ดูพวกแนวโน้ม กระแสเงินเข้า
เวลาจะดูบทวิเคราะห์ เพิ่งเข้าไปดูเห็นว่ามันเลือกได้ว่าเอาบทวิเคราะห์ประจำเดือนหรือประเภทอื่น (ปกติดูแต่ประจำวัน)
ในเมนู บทวิเคราะห์&ข่าว แล้วเลือกเมนูย่อย บัวหลวงวิเคราะห์ข่าว มีให้เลือกเป็น drop down menu ว่าจะเป็น category ไหน
อันนี้ก็เป็นสัมมนาเฉพาะลูกค้าที่เหมือนอธิบายรีเสิร์ซให้อ่านเข้าใจ
เพิ่มภาพหน้าจอเมนูในเวบหลักทรัพย์บัวหลวง
กดในเมนูหลัก
วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557
สรุปความรู้ที่ได้จากสัมมนา DW ของโบรกเกอร์ต่างๆ(1)
จากที่ไม่รู้เรื่อง DW เลย และไม่ได้ลองเริ่มศึกษาอะไร แต่ไปลงสัมมนาที่ทางโบรกเกอร์ต่างๆมาจัดอบรมที่ตลาดหลักทรัพย์แล้วก็ได้เริ่มรู้มาทีละเล็กทีละน้อย
แต่ละโบรกเกอร์ก็จะมีประสบการณ์และข้อมูลที่เตรียมมา รวมทั้งความพร้อมเรื่องผลิตภัณฑ์ต่างกัน
ฟังแล้วก็ได้ความรู้และได้ฟังคำถามที่นักลงทุนคนอื่นๆอยากรู้ บางอย่างก็ทำให้ได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้เหมือนกัน บางทีเวลาหาความรู้เองก็อาจจะต้องอ่านเยอะ อ่านหลายๆทาง การนั่งฟังหลายๆเจ้าก็ได้มุมของหลายๆที่เหมือนกัน
อย่างตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน
ลองรวบรวมเรื่องเท่าที่รู้มาดู
DW หรือที่เรียกว่า Derivative Warrant ถ้าจะแปลตรงๆก็จะเป็น ใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์
วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557
นิคมอุตสาหกรรมนวนคร การเดินทาง
ได้ไปทำงานในนิคมอุตสาหกรรมนวนครมาหลายปี อยากจะเขียนสรุปไว้หน่อย
เดินทางจากกทม.ไปได้ทั้งรถเมล์ รถตู้ และรถส่วนตัว
ส่วนตัวเจอปัญหากับรถติดในกรุงเทพฯเลยอยากจะออกไปนอกเมือง ได้ไปเจอนิคมนี้ก็มีที่อยู่อาศัยภายในนิคมเลย สามารถเดินไปกลับที่ทำงานกับหอได้เลย แต่ก็ยังมีรถรับส่งของบริษัทบริการด้วยเพราะเดินเข้าไปในบริษัทไกล
รถติด
ตั้งแต่อยู่มาก็เจอปัญหารถติดตอนเข้างานและเลิกงาน คนจะออกันเข้าออกนิคม
ตอนเข้างานก็รถเยอะตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้า แบบติดกันอยู่ยาวตั้งแต่แถบเลยม.ธรรมศาสตร์รังสิตมาหน่อย เพราะต้องออกมาจากเลนหลัก เข้าเลนเล็กฝั่งซ้ายก่อนเข้านิคมนานเหมือนกัน
และขาออกเลิกงานยังมีปัญหารถติดก่อนเลี้ยวกลับไปฝั่งขาเข้ากทม. ที่เป็นคอขวดตรงสะพานเลี้ยวกลับแถวม.วลัยฯ แต่ตอนนี้มีการสร้างสะพานให้สามารถเลี้ยวกลับได้จากทางออกนิคมเลย
ซึ่งการก่อสร้างก็ทำให้รถติด และทางเข้าตรงระหว่างโลตัสและบิ๊กซีแคบ แถมมีเวลากำหนด อย่างหลังเลิกงานก็ให้รถออกได้อย่างเดียว บางทีถ้าเลยจากทางเข้าตรงพระพรหมมาก็เลี้ยวเข้าไปในบิ๊กซีเลยแล้วค่อยออกหลังบิ๊กซีเข้านิคม
เลี้ยวกลับ
เลี้ยวกลับมีทางให้เลี้ยวกลับแถวม.วลัยฯ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีตลาดโรงเกลืออยู่ตรงสะพานเลี้ยวกลับพอดี
แต่เลยไปหน่อยก็มีทางเลี้ยวกลับซึ่งถ้าไม่ชินก็จะงงว่าจะออกทางไหน
หลังจากที่ผ่านไปทางประตูน้ำพระอินทร์แล้ว จากทางหลักจะมีทางให้ออกซ้าย มีแยกทางซ้ายให้ขึ้นสะพานไปอยุธยา แต่ที่เลี้ยวกลับอันนี้จะไม่ขึ้นสะพานนั้น ตรงต่อไปอีกหน่อยจะเลี้ยวโค้งขวา ไปทางที่จะไปสระบุรี แต่โค้งขวาไปหน่อยเดียวก็จะต้องเลี้ยวซ้ายไปเข้าซอยซึ่งจะไปสะพานเลี้ยวกลับอีกที
รถใหญ่เขาจะให้เลี้ยวกลับทางนี้ตอนช่วงเลิกงาน แต่ถึงยังไงรถก็ยังติดตรงสะพานกลับรถแถวม.วลัยฯอยู่ดี รอเลี้ยวกลับนี่ก็รอครึ่งชั่วโมง-ชั่วโมงนึงก็มีแล้วแต่ความแน่นของรถ
แต่ถ้ารถไม่แน่นก็สิบนาที บางที ทุ่ม สองทุ่มถ้าเป็นติดช่วงวันหยุดยาวรถก็ยังแน่นอยู่หน้านิคม
(เห็นว่าพอมีสะพานกลับรถออกจากนิคมเลยเรื่องรถติดจะเบาลงมากว่าแต่ก่อน)
ระยะเวลาเดินทางขากลับ
ช่วงปกติถ้าเลิกงานห้าโมงเย็น ออกตอนห้าโมงยี่สิบ จะไปอนุเสาวรีย์ชัย ก็จะถึงประมาณหนึ่งทุ่มกว่า
ถ้ารถติดก็สองทุ่มกว่า
ถ้าวันเสาร์ก็เร็วหน่อย ไปถึงอนุเสาวรีย์ไม่ถึงหกโมงครึ่งก็มี
ถ้าไปฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ก็จะไปถึงประมาณหกโมงเย็นถึงหกโมงครึ่ง
รถสาธารณะ
ขาไป(จากกทม.)
ขึ้นรถตู้ไปนวนคร หรือไปอยุธยาแล้วขอลงนวนคร ขึ้นจากอนุเสาวรีย์ได้ แต่ก่อนคิวจะมีอยู่ตรงร้านพงหลี คิวอยุธยาก็อยู่แถวๆแยกนั้น (แถบแยกที่ใกล้เซ็นเตอร์วันที่เคยไฟไหม้ไป)
รถตู้ไปนวนครประมาณ 50-60 บาท รถไปนวนครโดยตรงก็หมดประมาณสองทุ่ม
ถ้าไปตอนเช้ารถที่ไปอยุธยาจะออกถี่กว่า คนเต็มเร็วกว่าเยอะ
ถ้ารถไม่ติดก็ใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
รถเมล์ขึ้นพวกสายที่ไปแถบรังสิตหรือธรรมศาสตร์รังสิต ถ้าสาย 29จะมีเลี้ยวซ้ายไปก่อนถึงหน้าฟิวเจอร์ต้องเดินข้ามถนนไปที่ขึ้นรถ
ถ้าลงตรงหน้าฟิวเจอร์ (ฝั่งตรงข้ามฟิวเจอร์)ก็จะมีรถตู้พวกที่ไปอยุธยาซึ่งถ้าไปนวนครก็อาจจะอาศัยไปได้ ประมาณ 15 บาท
บางครั้งก็จะเจอรถตู้ไม่รับ ไม่มีรถไปบ้างเหมือนกัน
ก็จะไปขึ้นรถเมล์ 338 ที่อยู่ไม่ไกลกัน ประมาณ 11 บาท ขึ้นประตูหน้ารถ และลงตรงประตูกลางรถ มีที่กั้นสำหรับเช็คจำนวนผู้โดยสาร รถ 338 จะตรงไปเรื่อยๆ ผ่านหน้านิคมนวนครจะมีคนลงเยอะ
และรถเมล์สาย 338 ก็จะหมดประมาณสองทุ่ม ถ้ารถหมดก็อาจขึ้นรถตู้หรือขึ้นรถสองแถวที่จอดหน้ารถเมล์
แต่สองแถวจะรอจนคนยืนเต็มถึงออกแล้วมีอีกคันมาจอดรอคนต่อ ไปถึงนวนคร 20 บาท
สองแถวที่จะไปนวนครจะมีเวลาประมาณหลังรถเมล์หมด สองแถวที่มีก่อนหน้านั้นจะไม่ไปถึงหน้านวนคร และสองแถวจะช้ากว่ารถตู้
ถ้านั่งรถเมล์จากในกทม.แล้วไปต่อรถที่ฟิวเจอร์บางทีก็สองสามชั่วโมงกว่าจะไปถึงนวนคร
ขากลับ
รถตู้ออกจากนวนคร ขึ้นแถวๆหน้าเซเว่นหน้านิคม (หน้าเมือง) เซเว่นฝั่งซ้ายของรพ.นวนคร ถ้าหันหน้าเข้ารพ.
หรือฝั่งตรงข้ามนิคม เดินข้ามสะพานลอยไปแล้วเดินไปอีกหน่อยก็จะมีรถเมล์ 338 จอดรอ ด้านหน้ารถเมล์ก็จะมีพวกรถตู้ที่นั่งไปลงฟิวเจอร์ รังสิตได้
หรือพวกรถบขส.ก็มีที่ไปถึงหมอชิต
เดินทางภายในนิคม
รถซูบารุ หรือสองแถวเล็ก สิบบาท เข้าซอยไปถึงในหมู่บ้านไทยธานีลึกๆ
มีจุดขึ้นสองจุด ช่วงก่อนทุ่มนึงรถจะไปจอดตรงหัวมุมแถบใกล้เจเวนิว ส่วนหลังทุ่มนึงไปก็จะไปจอดแถวหน้าเซเว่นใกล้รพ.นวนคร
เพราะก่อนทุ่มนึงตรงหน้าเซเว่นจะเป็นรถซูบารุที่เข้าไปแถวแฟลต-วิลล่า คือจะเลี้ยวขวาตรงแยกแอ๊บบลูมเข้าไม่ถึงไทยธานี ซึ่งอันนี้จะมีคนขึ้นไม่เยอะ ถ้าจะเข้าไปตรงแฟลต-วิลล่า จะต้องรอคนเต็มนาน บางทีก็ไม่มีคนรถก็จะออกตามเวลาก็เป็นชั่วโมง
(2020 อัพเดต รถซูบารุเหลือแค่คันที่เข้าไทยธานี)
เดินทางจากกทม.ไปได้ทั้งรถเมล์ รถตู้ และรถส่วนตัว
ส่วนตัวเจอปัญหากับรถติดในกรุงเทพฯเลยอยากจะออกไปนอกเมือง ได้ไปเจอนิคมนี้ก็มีที่อยู่อาศัยภายในนิคมเลย สามารถเดินไปกลับที่ทำงานกับหอได้เลย แต่ก็ยังมีรถรับส่งของบริษัทบริการด้วยเพราะเดินเข้าไปในบริษัทไกล
รถติด
ตั้งแต่อยู่มาก็เจอปัญหารถติดตอนเข้างานและเลิกงาน คนจะออกันเข้าออกนิคม
ตอนเข้างานก็รถเยอะตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้า แบบติดกันอยู่ยาวตั้งแต่แถบเลยม.ธรรมศาสตร์รังสิตมาหน่อย เพราะต้องออกมาจากเลนหลัก เข้าเลนเล็กฝั่งซ้ายก่อนเข้านิคมนานเหมือนกัน
และขาออกเลิกงานยังมีปัญหารถติดก่อนเลี้ยวกลับไปฝั่งขาเข้ากทม. ที่เป็นคอขวดตรงสะพานเลี้ยวกลับแถวม.วลัยฯ แต่ตอนนี้มีการสร้างสะพานให้สามารถเลี้ยวกลับได้จากทางออกนิคมเลย
ซึ่งการก่อสร้างก็ทำให้รถติด และทางเข้าตรงระหว่างโลตัสและบิ๊กซีแคบ แถมมีเวลากำหนด อย่างหลังเลิกงานก็ให้รถออกได้อย่างเดียว บางทีถ้าเลยจากทางเข้าตรงพระพรหมมาก็เลี้ยวเข้าไปในบิ๊กซีเลยแล้วค่อยออกหลังบิ๊กซีเข้านิคม
เลี้ยวกลับ
เลี้ยวกลับมีทางให้เลี้ยวกลับแถวม.วลัยฯ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีตลาดโรงเกลืออยู่ตรงสะพานเลี้ยวกลับพอดี
แต่เลยไปหน่อยก็มีทางเลี้ยวกลับซึ่งถ้าไม่ชินก็จะงงว่าจะออกทางไหน
หลังจากที่ผ่านไปทางประตูน้ำพระอินทร์แล้ว จากทางหลักจะมีทางให้ออกซ้าย มีแยกทางซ้ายให้ขึ้นสะพานไปอยุธยา แต่ที่เลี้ยวกลับอันนี้จะไม่ขึ้นสะพานนั้น ตรงต่อไปอีกหน่อยจะเลี้ยวโค้งขวา ไปทางที่จะไปสระบุรี แต่โค้งขวาไปหน่อยเดียวก็จะต้องเลี้ยวซ้ายไปเข้าซอยซึ่งจะไปสะพานเลี้ยวกลับอีกที
รถใหญ่เขาจะให้เลี้ยวกลับทางนี้ตอนช่วงเลิกงาน แต่ถึงยังไงรถก็ยังติดตรงสะพานกลับรถแถวม.วลัยฯอยู่ดี รอเลี้ยวกลับนี่ก็รอครึ่งชั่วโมง-ชั่วโมงนึงก็มีแล้วแต่ความแน่นของรถ
แต่ถ้ารถไม่แน่นก็สิบนาที บางที ทุ่ม สองทุ่มถ้าเป็นติดช่วงวันหยุดยาวรถก็ยังแน่นอยู่หน้านิคม
(เห็นว่าพอมีสะพานกลับรถออกจากนิคมเลยเรื่องรถติดจะเบาลงมากว่าแต่ก่อน)
ระยะเวลาเดินทางขากลับ
ช่วงปกติถ้าเลิกงานห้าโมงเย็น ออกตอนห้าโมงยี่สิบ จะไปอนุเสาวรีย์ชัย ก็จะถึงประมาณหนึ่งทุ่มกว่า
ถ้ารถติดก็สองทุ่มกว่า
ถ้าวันเสาร์ก็เร็วหน่อย ไปถึงอนุเสาวรีย์ไม่ถึงหกโมงครึ่งก็มี
ถ้าไปฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ก็จะไปถึงประมาณหกโมงเย็นถึงหกโมงครึ่ง
รถสาธารณะ
ขาไป(จากกทม.)
ขึ้นรถตู้ไปนวนคร หรือไปอยุธยาแล้วขอลงนวนคร ขึ้นจากอนุเสาวรีย์ได้ แต่ก่อนคิวจะมีอยู่ตรงร้านพงหลี คิวอยุธยาก็อยู่แถวๆแยกนั้น (แถบแยกที่ใกล้เซ็นเตอร์วันที่เคยไฟไหม้ไป)
รถตู้ไปนวนครประมาณ 50-60 บาท รถไปนวนครโดยตรงก็หมดประมาณสองทุ่ม
ถ้าไปตอนเช้ารถที่ไปอยุธยาจะออกถี่กว่า คนเต็มเร็วกว่าเยอะ
ถ้ารถไม่ติดก็ใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
รถเมล์ขึ้นพวกสายที่ไปแถบรังสิตหรือธรรมศาสตร์รังสิต ถ้าสาย 29จะมีเลี้ยวซ้ายไปก่อนถึงหน้าฟิวเจอร์ต้องเดินข้ามถนนไปที่ขึ้นรถ
ถ้าลงตรงหน้าฟิวเจอร์ (ฝั่งตรงข้ามฟิวเจอร์)ก็จะมีรถตู้พวกที่ไปอยุธยาซึ่งถ้าไปนวนครก็อาจจะอาศัยไปได้ ประมาณ 15 บาท
บางครั้งก็จะเจอรถตู้ไม่รับ ไม่มีรถไปบ้างเหมือนกัน
ก็จะไปขึ้นรถเมล์ 338 ที่อยู่ไม่ไกลกัน ประมาณ 11 บาท ขึ้นประตูหน้ารถ และลงตรงประตูกลางรถ มีที่กั้นสำหรับเช็คจำนวนผู้โดยสาร รถ 338 จะตรงไปเรื่อยๆ ผ่านหน้านิคมนวนครจะมีคนลงเยอะ
และรถเมล์สาย 338 ก็จะหมดประมาณสองทุ่ม ถ้ารถหมดก็อาจขึ้นรถตู้หรือขึ้นรถสองแถวที่จอดหน้ารถเมล์
แต่สองแถวจะรอจนคนยืนเต็มถึงออกแล้วมีอีกคันมาจอดรอคนต่อ ไปถึงนวนคร 20 บาท
สองแถวที่จะไปนวนครจะมีเวลาประมาณหลังรถเมล์หมด สองแถวที่มีก่อนหน้านั้นจะไม่ไปถึงหน้านวนคร และสองแถวจะช้ากว่ารถตู้
ถ้านั่งรถเมล์จากในกทม.แล้วไปต่อรถที่ฟิวเจอร์บางทีก็สองสามชั่วโมงกว่าจะไปถึงนวนคร
ขากลับ
รถตู้ออกจากนวนคร ขึ้นแถวๆหน้าเซเว่นหน้านิคม (หน้าเมือง) เซเว่นฝั่งซ้ายของรพ.นวนคร ถ้าหันหน้าเข้ารพ.
หรือฝั่งตรงข้ามนิคม เดินข้ามสะพานลอยไปแล้วเดินไปอีกหน่อยก็จะมีรถเมล์ 338 จอดรอ ด้านหน้ารถเมล์ก็จะมีพวกรถตู้ที่นั่งไปลงฟิวเจอร์ รังสิตได้
หรือพวกรถบขส.ก็มีที่ไปถึงหมอชิต
เดินทางภายในนิคม
รถซูบารุ หรือสองแถวเล็ก สิบบาท เข้าซอยไปถึงในหมู่บ้านไทยธานีลึกๆ
มีจุดขึ้นสองจุด ช่วงก่อนทุ่มนึงรถจะไปจอดตรงหัวมุมแถบใกล้เจเวนิว ส่วนหลังทุ่มนึงไปก็จะไปจอดแถวหน้าเซเว่นใกล้รพ.นวนคร
เพราะก่อนทุ่มนึงตรงหน้าเซเว่นจะเป็นรถซูบารุที่เข้าไปแถวแฟลต-วิลล่า คือจะเลี้ยวขวาตรงแยกแอ๊บบลูมเข้าไม่ถึงไทยธานี ซึ่งอันนี้จะมีคนขึ้นไม่เยอะ ถ้าจะเข้าไปตรงแฟลต-วิลล่า จะต้องรอคนเต็มนาน บางทีก็ไม่มีคนรถก็จะออกตามเวลาก็เป็นชั่วโมง
(2020 อัพเดต รถซูบารุเหลือแค่คันที่เข้าไทยธานี)
วินมอเตอร์ไซค์ก็มีทั้งตรงแถวหน้าห้างเจเวนิวแถบพระพรหม และแถบใกล้โลตัสก็มี
รับคนไปทางเดียวกันสองคนไปทีเดียว ให้ซ้อนสามแต่คิดเงินแยกต่อหัวเอาเปรียบผู้บริโภค
โดยเฉพาะช่วงเข้างานจะไม่รับผู้โดยสารคนเดียว จะรอจนกว่ามีอีกคนมาถึงจะยอมไป
(วินมอเตอร์ไซค์นี่ก็เจอตั้งแต่วันไปสัมภาษณ์งาน นั่งแค่นิดเดียวคิดยี่สิบ จากนั้นก็เลยไม่ค่อยขึ้น
เคยขึ้นจากหน้าเมืองเข้าไปแถวแฟลต-วิลล่า ก็ประมาณสิบห้าบาท ก็นึกในใจว่าวันแรกนี่เจอยี่สิบเพราะเห็นเพิ่งมาใหม่รึเปล่าไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้น้องที่อยู่มาเป็นปีก็เจอยี่สิบเหมือนกันทั้งที่น้ำมันก็ราคาลง)
บางทีตอนช่วงเลิกงานก็จะเห็นตำรวจมายืนตรงถนนระหว่างโลตัส-บิ๊กซีจับคนไม่สวมหมวกกันน๊อคหรือรถยนต์กรณีขับออกนอกเลนทำให้รถสวนไม่ได้
เรื่องน้ำท่วมในนิคมก็พอมีตอนฝนตกหนัก ถ้าเข้าไปส่วนลึกๆ หรือที่เป็นซอยรถเล็กลำบาก
(เคยช่วงฝนตกหนักๆ รถเก๋งเข้าไปซอยแถวหลังโลตัสน้ำท่วมแบบแทบจะวิ่งไม่ได้)
ถ้าขับรถเข้านิคมลูกระนาดในนิคมอันใหญ่ต้องคอยสังเกตตลอด
และแถบไทยธานีก็หาที่จอดรถลำบาก บางหอก็มีที่จอดให้ เก็บตังค์ค่าจอด
มีที่รับฝากรถเก็บตังค์รายเดือนอยู่เหมือนกัน
ตามโรงงานบางทีก็มีที่จอดรถให้น้อยแย่งกันไม่พอจอด
จอดรถในโลตัส บิ๊กซีไม่เก็บค่าจอด
รถแท็กซี่ก็ได้ยินข่าวตั้งแต่สมัยก่อนว่ามีเรื่องกับพวกวิน ถ้าไปรับผู้โดยสารออกจากนิคมก็อาจจะโดน แต่ก็ไม่เคยนั่งแท็กซี่ออกจากนิคม นั่งแต่สองแถวหรือวิน แต่แท็กซี่ที่จอดรอผู้โดยสารแถวหน้านิคม ถ้าจะนั่งเข้านิคม เคยเจอคิดหกสิบบาท ไม่เปิดมิเตอร์ บางทีนั่งบขส.มาถึงหน้านวนครตอนตีสามตีสี่เลยจะนั่งแท็กซี่เข้าไป เจออย่างนี้บางทีก็เซ็ง เพื่อนบางคนก็ไปยืนรอแท็กซี่ที่วิ่งผ่านไป แบบไม่ได้มาจอดรอประจำ อันนั้นอาจจะเจอที่เปิดมิเตอร์ปกติ
ถ้าจะนั่งแท็กซี่จากฟิวเจอร์เข้านวนครก็อาจจะประมาณร้อยยี่สิบ
อัพเดต 14 พ.ย. 2557
พอดีอาทิตย์นี้ได้ไปทำงานอยุธยาเลยผ่านนวนครเห็นสะพานกลับรถที่ออกจากในนวนครกลับรถไปฝั่งเข้ากรุงเทพได้เลยมีรถวิ่งแล้ว เลยไปลองขึ้นดู คงลดปัญหารถติดตอนจะออกไปรอเลี้ยวกลับได้ ว่าแต่เขาว่าไม่ให้มอเตอร์ไซค์วิ่ง เห็นว่าเปิดมาประมาณเดือนนึงแล้ว
และก็มีการทำทางตรงทางกั้นระหว่างทางหลักกับทางคู่ขนานแถวโตโยต้าชัวร์ ก่อนจะถึงทางเข้านวนครนิดนึง ทำให้รถไปออๆกันตรงนั้น บวกกับที่เปิดทางให้รถจากทางหลักออกมาทางคู่ขนานตรงนั้นด้วย เลยติด
มี.ค.2558
ผ่านไปแถวนวนครอีกครั้งเห็นว่าไม่มีการทำทางก่อสร้างอะไรแล้ว ทางแยกจากทางหลักไปเข้าซ้ายก่อนเข้านวนครมีทำเพิ่มขึ้นมา แต่ยังไม่ได้มีโอกาสผ่านไปดูสภาพรถช่วงเช้าก่อนเริ่มงาน
มิ.ย.2558
ไปทำงานในนวนคร เลยได้ลองสะพานกลับรถ ทำให้เวลารอกลับรถลดลงไปเยอะมาก
วันนึงออกจากนวนครตอนหกโมงเย็น (แวะโลตัสก่อนเลยออกจากหลังโลตัสหกโมง) ไม่ถึงห้านาทีก็ขึ้นสะพานกลับรถได้เลย และพอดีเผลอขึ้นโทลเวย์แล้วเลยด่านดอนเมือง (ขึ้นก่อนฟิวลงดอนเมืองมันไม่เก็บค่าผ่านทาง) โดนค่าทางด่วนไปร้อยนึงแต่ลงทางด่วนมาถึงแถวอนุเสาวรีย์ได้ตอนหกโมงครึ่ง
รับคนไปทางเดียวกันสองคนไปทีเดียว ให้ซ้อนสามแต่คิดเงินแยกต่อหัวเอาเปรียบผู้บริโภค
โดยเฉพาะช่วงเข้างานจะไม่รับผู้โดยสารคนเดียว จะรอจนกว่ามีอีกคนมาถึงจะยอมไป
(วินมอเตอร์ไซค์นี่ก็เจอตั้งแต่วันไปสัมภาษณ์งาน นั่งแค่นิดเดียวคิดยี่สิบ จากนั้นก็เลยไม่ค่อยขึ้น
เคยขึ้นจากหน้าเมืองเข้าไปแถวแฟลต-วิลล่า ก็ประมาณสิบห้าบาท ก็นึกในใจว่าวันแรกนี่เจอยี่สิบเพราะเห็นเพิ่งมาใหม่รึเปล่าไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้น้องที่อยู่มาเป็นปีก็เจอยี่สิบเหมือนกันทั้งที่น้ำมันก็ราคาลง)
บางทีตอนช่วงเลิกงานก็จะเห็นตำรวจมายืนตรงถนนระหว่างโลตัส-บิ๊กซีจับคนไม่สวมหมวกกันน๊อคหรือรถยนต์กรณีขับออกนอกเลนทำให้รถสวนไม่ได้
เรื่องน้ำท่วมในนิคมก็พอมีตอนฝนตกหนัก ถ้าเข้าไปส่วนลึกๆ หรือที่เป็นซอยรถเล็กลำบาก
(เคยช่วงฝนตกหนักๆ รถเก๋งเข้าไปซอยแถวหลังโลตัสน้ำท่วมแบบแทบจะวิ่งไม่ได้)
ถ้าขับรถเข้านิคมลูกระนาดในนิคมอันใหญ่ต้องคอยสังเกตตลอด
และแถบไทยธานีก็หาที่จอดรถลำบาก บางหอก็มีที่จอดให้ เก็บตังค์ค่าจอด
มีที่รับฝากรถเก็บตังค์รายเดือนอยู่เหมือนกัน
ตามโรงงานบางทีก็มีที่จอดรถให้น้อยแย่งกันไม่พอจอด
จอดรถในโลตัส บิ๊กซีไม่เก็บค่าจอด
รถแท็กซี่ก็ได้ยินข่าวตั้งแต่สมัยก่อนว่ามีเรื่องกับพวกวิน ถ้าไปรับผู้โดยสารออกจากนิคมก็อาจจะโดน แต่ก็ไม่เคยนั่งแท็กซี่ออกจากนิคม นั่งแต่สองแถวหรือวิน แต่แท็กซี่ที่จอดรอผู้โดยสารแถวหน้านิคม ถ้าจะนั่งเข้านิคม เคยเจอคิดหกสิบบาท ไม่เปิดมิเตอร์ บางทีนั่งบขส.มาถึงหน้านวนครตอนตีสามตีสี่เลยจะนั่งแท็กซี่เข้าไป เจออย่างนี้บางทีก็เซ็ง เพื่อนบางคนก็ไปยืนรอแท็กซี่ที่วิ่งผ่านไป แบบไม่ได้มาจอดรอประจำ อันนั้นอาจจะเจอที่เปิดมิเตอร์ปกติ
ถ้าจะนั่งแท็กซี่จากฟิวเจอร์เข้านวนครก็อาจจะประมาณร้อยยี่สิบ
อัพเดต 14 พ.ย. 2557
พอดีอาทิตย์นี้ได้ไปทำงานอยุธยาเลยผ่านนวนครเห็นสะพานกลับรถที่ออกจากในนวนครกลับรถไปฝั่งเข้ากรุงเทพได้เลยมีรถวิ่งแล้ว เลยไปลองขึ้นดู คงลดปัญหารถติดตอนจะออกไปรอเลี้ยวกลับได้ ว่าแต่เขาว่าไม่ให้มอเตอร์ไซค์วิ่ง เห็นว่าเปิดมาประมาณเดือนนึงแล้ว
และก็มีการทำทางตรงทางกั้นระหว่างทางหลักกับทางคู่ขนานแถวโตโยต้าชัวร์ ก่อนจะถึงทางเข้านวนครนิดนึง ทำให้รถไปออๆกันตรงนั้น บวกกับที่เปิดทางให้รถจากทางหลักออกมาทางคู่ขนานตรงนั้นด้วย เลยติด
มี.ค.2558
ผ่านไปแถวนวนครอีกครั้งเห็นว่าไม่มีการทำทางก่อสร้างอะไรแล้ว ทางแยกจากทางหลักไปเข้าซ้ายก่อนเข้านวนครมีทำเพิ่มขึ้นมา แต่ยังไม่ได้มีโอกาสผ่านไปดูสภาพรถช่วงเช้าก่อนเริ่มงาน
มิ.ย.2558
ไปทำงานในนวนคร เลยได้ลองสะพานกลับรถ ทำให้เวลารอกลับรถลดลงไปเยอะมาก
วันนึงออกจากนวนครตอนหกโมงเย็น (แวะโลตัสก่อนเลยออกจากหลังโลตัสหกโมง) ไม่ถึงห้านาทีก็ขึ้นสะพานกลับรถได้เลย และพอดีเผลอขึ้นโทลเวย์แล้วเลยด่านดอนเมือง (ขึ้นก่อนฟิวลงดอนเมืองมันไม่เก็บค่าผ่านทาง) โดนค่าทางด่วนไปร้อยนึงแต่ลงทางด่วนมาถึงแถวอนุเสาวรีย์ได้ตอนหกโมงครึ่ง
เคยลองๆไปเดินๆดูแถวอนุสาวรีย์ ก็เห็นรถตู้ไปนวนครยังจอดอยู่แถวๆเดิม ใกล้ๆกับรถตู้ที่ไปธรรมศาสตร์รังสิตด้วย
เห็นเดี๋ยวนี้มีชื่อเรียกแต่ละฝั่งเป็นชื่อเกาะ จะอยู่ตรงที่ชื่อเกาะพญาไท
แผนที่รถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยมีคนลงไว้ใน pantip
https://m.pantip.com/topic/34841775?
เห็นเดี๋ยวนี้มีชื่อเรียกแต่ละฝั่งเป็นชื่อเกาะ จะอยู่ตรงที่ชื่อเกาะพญาไท
แผนที่รถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยมีคนลงไว้ใน pantip
https://m.pantip.com/topic/34841775?
อัพเดต ปี 2018
ได้ผ่านไปอีกครั้งตอนช่วงเลิกงาน
เจอรถติดรอกลับรถก่อนถึงสะพานกลับรถตรงระหว่างบิ๊กซีกับโลตัส
เจอว่ามีรถตู้ที่เขียนเบอร์338ด้วย
2020
รถตู้หน้านิคมเข้ากทม.ยังมีเหมือนเดิม จอดหน้านิคม ใกล้ๆสะพานลอย
ออกประมาณทุกหนึ่งชั่วโมง ไปกลับรถตรงสะพานกลับรถตรงระหว่าบิ๊กซีกับโลตัส
รถซูบารุเข้าแฟลตไม่มีแล้ว เหลือแต่ที่เข้าไทยธานี และรอนาน
มิ.ย. 2023
มีการทำทางตรงถนนใหญ่ตั้งแต่แถวหน้าบิ๊กซีไปหน่อยมีการกั้นเลนถนนเส้นหลักไปหนึ่งเลน(ซ้าย)
หลังจากช่วงที่น้ำท่วมใหม่ๆคนยังน้อยแต่ 2022 มีช่วงที่ออกจากอยุธยาผ่านหน้านิคมบ่อยทั้งเช้าเย็นอยู่หลายเดือน ช่วงเช้าต้องรีบออกประมาณผ่านหน้านิคมไม่เกินหกโมงครึ่ง ผ่านถนนเส้นหลักจะยังไม่ติด หลังหกโมงสี่สิบแถวทางเข้านิคมก็จะติด
ช่วงหน้าฝนที่คนเอารถออกมาเยอะจะติดช่วงเย็นหนักมากยาวไปถึงแถวธรรมศาสตร์ ม.กรุงเทพ
2024
เข้าไปนวนครบ้างแต่เข้าไปหลังเวลาช่วงพีคเลยไม่เจอสภาพรถติดช่วงเช้า แต่ออกมาก่อนห้าโมงก็มีรถติดช่วงเย็น เพราะมีบริษัทที่เลิกก่อนห้าโมงเหมือนกันเลยจะมีคิวรอขึ้นสะพานกลับรถ
จองหุ้นเพิ่มทุน twz กันยายน 2557
จากที่ได้ warrant ของ twz มาจำนวนไม่มากเพราะไปใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนมาครั้งก่อนหลายเดือนมาแล้ว
คราวนี้ที่ได้มาก็เป็น warrant twz -w2 เลยไปใช้สิทธิ์ซะหน่อย
ไปที่ตึกที่ตั้งบริษัท เป็นตึกที่มี Tops เลี้ยวขวามาจากแยกตลาดบองมาเช่แถววัดเสมียนนารี (เข้าจากทางถ.วิภาวดี)
วันนี้ไปใช้สิทธิ์ก็พบว่าไม่ค่อยมีคน พื้นที่รับติดต่อก็เป็นห้องเล็กๆชั้นสองของตึก ซึ่งบันไดเลื่อนขึ้นชั้นสองไม่สามารถใช้ได้
ที่จอดรถไม่สามารถปั๊มบัตรได้เพราะเห็นว่าทางตึกไม่ให้แล้ว แต่ก็ชั่วโมงละ 10 บาท (คราวก่อนมายังปั๊มได้)
แต่ถ้าซื้อของที่ top ก็ปั๊มได้ ในป้ายเขียนว่าต้องซื้อ 300 บาท
คราวนี้ไม่สามารถใช้สิทธิ์เกินจำนวนที่ได้ก็เลยใช้สิทธิ์ได้น้อยไปหน่อย จ่ายเป็นเงินสดไม่กี่บาทตรงเค้าน์เตอร์ที่รับเรื่อง
แต่ก็รู้สึกว่าเอกสารที่ให้กรอกก็ออกงง เพราะในใบรับรองสิทธิ์เรา ว่าเราได้จำนวนหุ้นเท่าไหร่ก็มีช่องให้เขียนกรณีใช้สิทธิ์เกินจำนวน
แต่ในใบที่กรอกขอใช้สิทธิ์ก็ให้เขียนเฉพาะสิทธิ์ที่เราได้
ช่องที่ให้เขียนหมายเลขใบสำคัญแสดงสิทธิ์ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าต้องเขียนหมายเลขไหนเลยเว้นไว้
ถามเขาก็บอกว่าเป็นหมายเลขที่บาร์โค้ด
ตอนแรกคิดว่าจะใช้สิทธิ์เกินจำนวนได้ ไม่ได้ศึกษาก่อนเลยนึกว่าจะใช้เกินจำนวนให้ตัวเลขจำนวนเงินลงตัวจะได้ไม่ต้องจ่ายเศษสตางค์
แต่พอใช้เกินจำนวนไม่ได้ก็ทำให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายมันน้อยติดเศษสตางค์
เงินไม่กี่บาทก็ไม่อยากไปโอนเงินให้เสียเวลา เลยจ่ายเงินสดไป แต่ก็ทำให้จ่ายเศษสตางค์เกินไป 0.02 สตางค์
หุ้นที่มีเพิ่มทุนนี่ เวลาได้จำนวนสิทธิ์มาน้อยก็ไม่ค่อยกล้าไปติดต่อเขาเหมือนกัน
อาจมีคนคิดว่าได้หุ้นแค่นี้ ไม่กี่บาทจะถ่อไปทำไม
คราวนี้ที่ได้มาก็เป็น warrant twz -w2 เลยไปใช้สิทธิ์ซะหน่อย
ไปที่ตึกที่ตั้งบริษัท เป็นตึกที่มี Tops เลี้ยวขวามาจากแยกตลาดบองมาเช่แถววัดเสมียนนารี (เข้าจากทางถ.วิภาวดี)
วันนี้ไปใช้สิทธิ์ก็พบว่าไม่ค่อยมีคน พื้นที่รับติดต่อก็เป็นห้องเล็กๆชั้นสองของตึก ซึ่งบันไดเลื่อนขึ้นชั้นสองไม่สามารถใช้ได้
ที่จอดรถไม่สามารถปั๊มบัตรได้เพราะเห็นว่าทางตึกไม่ให้แล้ว แต่ก็ชั่วโมงละ 10 บาท (คราวก่อนมายังปั๊มได้)
แต่ถ้าซื้อของที่ top ก็ปั๊มได้ ในป้ายเขียนว่าต้องซื้อ 300 บาท
คราวนี้ไม่สามารถใช้สิทธิ์เกินจำนวนที่ได้ก็เลยใช้สิทธิ์ได้น้อยไปหน่อย จ่ายเป็นเงินสดไม่กี่บาทตรงเค้าน์เตอร์ที่รับเรื่อง
แต่ก็รู้สึกว่าเอกสารที่ให้กรอกก็ออกงง เพราะในใบรับรองสิทธิ์เรา ว่าเราได้จำนวนหุ้นเท่าไหร่ก็มีช่องให้เขียนกรณีใช้สิทธิ์เกินจำนวน
แต่ในใบที่กรอกขอใช้สิทธิ์ก็ให้เขียนเฉพาะสิทธิ์ที่เราได้
ช่องที่ให้เขียนหมายเลขใบสำคัญแสดงสิทธิ์ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าต้องเขียนหมายเลขไหนเลยเว้นไว้
ถามเขาก็บอกว่าเป็นหมายเลขที่บาร์โค้ด
ตอนแรกคิดว่าจะใช้สิทธิ์เกินจำนวนได้ ไม่ได้ศึกษาก่อนเลยนึกว่าจะใช้เกินจำนวนให้ตัวเลขจำนวนเงินลงตัวจะได้ไม่ต้องจ่ายเศษสตางค์
แต่พอใช้เกินจำนวนไม่ได้ก็ทำให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายมันน้อยติดเศษสตางค์
เงินไม่กี่บาทก็ไม่อยากไปโอนเงินให้เสียเวลา เลยจ่ายเงินสดไป แต่ก็ทำให้จ่ายเศษสตางค์เกินไป 0.02 สตางค์
หุ้นที่มีเพิ่มทุนนี่ เวลาได้จำนวนสิทธิ์มาน้อยก็ไม่ค่อยกล้าไปติดต่อเขาเหมือนกัน
อาจมีคนคิดว่าได้หุ้นแค่นี้ ไม่กี่บาทจะถ่อไปทำไม
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)